06 ตุลาคม 2556

มันก็แค่... ปัญหา


    กลับมาทักทายกันอีกครั้งครับ พอดีได้อ่านเรื่องราวของคน ๆ นึง เลยเกิดอยากนำเอามาเล่าต่อให้ฟังกันครับ บุคคลในภาพคือ ลอร์ด เนลสัน (โฮราชิโอ เนลสัน ไวเคานท์เนลสันที่ 1) แม่ทัพเรือผู้ยิ่งใหญ่ แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือ ท่านลอร์ดผู้นี้กลับเป็นคนที่เมาคลื่นครับ ประวัติค่อนข้างน่าสนใจมากเลยทีเดียว ตามอ่านต่อได้เลยครับ

     เนลสัน เป็นเด็กที่มีรูปร่างผอม สุขภาพไม่สูดีมีอาการเจ็บป่วยอยู่เป็นประจำ เมื่ออายุ 12 ปี พ่อเขาจึงส่งให้ไปเป็นลูกเรือ ใช้เวลาอยู่หลายปีจนสามารถไต่เต้าเป็นกัปตันเรือได้ เมื่อนโปเลียน ยาตราทัพไปทั่วยุโรป เนลสันก็ได้ก้าวเข้าสู่สงคราม สู้รบจนได้รับบาดเจ็บตาขวาบอด และสงครามครั้งต่อมาเขาก็เสียแขนขวา


     ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปคงเลิกประจำการแล้ว แต่เนลสันกลับไม่ยอมเลิก เขายังประจันหน้าทัพนโปเลียนที่อียิปส์ เอาชนะสงครามได้อย่างงดงาม โดยสงครามครั้งนี้เขาได้รับบาดเจ็บ สมองถูกกระทบกระเทือน แต่เขายังคงไม่ยอมเลิกการเป็นแม่ทัพ


     ในสงครามครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ผู้บัญชาการของเนลสันส่งสัญญาณให้ถอยทัพหนี เนลสันได้หยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมามองด้วยตาขวาและบอกว่า "ไม่เห็นมีสัญญาณอะไรเลย" เมื่อยืนหยัดต่อสู้ ทัพเรือของเขาก็ได้รับชัยชนะอีกครั้ง


     ในสงครามครั้งสุดท้ายของเขา เนลสันต่อสู้กับทัพเรืออันเกรียงไกรของฝรั่งเศส-สเปน เนลสันถูกนักแม่นปืนยิงบาดเจ็บสาหัสนอนรอความตายอยู่หลายชั่วโมง แต่เขาไม่ยอมตายจนกว่าจะได้ยินเสียงของลูกเรือว่าทัพเรือของตนชนะ จะเห็นได้ว่า เนลสันเป็นคนที่ยืนหยัดต่อสู้กับปัญหามากมาย ต่อสู้กับตัวเองทั้งที่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวน แต่กลับมีจิตใจที่เข้มแข็ง


     ในโลกของความเป็นจริงและการลงทุนนั้นเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะมาจากสภาพจิตใจภายในของเรา หรือว่าปัจจัย สิ่งเร้าภายนอก แต่เมื่อเรามีการเตรียมพร้อมที่ดี มีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ยืนหยัดต่อสู้ ไม่ย่อท้อต่อปัญหา เราก็สามารถรับมือกับปัญหามากมายที่ถาโถมเข้ามาหาเราได้ สุดท้ายเราก็จะประกาศชัยชนะเหนือปัญหาทุกเรื่องที่เข้ามา


    วินทร์ เลียววาริณ "ปัญหาในโลกนี้แบ่งออกเป็นสองอย่าง อย่างหนึ่งคือปัญหาจริง อย่างหนึ่งคือปัญหาที่ฝันขึ้นเอง หากพิจารณาดูตัวปัญหาของเราให้ดี อาจพบว่าบางปัญหาเป็นเพียงจินตนาการเชิงลบเท่านั้น ที่ตลกก็คือ แม้แต่ปัญหาจริงก็ยังมีการแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ การตกงานสำหรับคนหนึ่งคือความล้มเหลวเลวร้าย สำหรับอีกคนหนึ่งอาจเป็นประตูสู่ชีวิตใหม่ ดังนั้น ท่าที (attitude) ต่อปัญหา จึงสำคัญมากกว่าตัวปัญหาเอง"



"ปัญหาใหญ่ทำให้เป็นปัญหาเล็ก ปัญหาเล็กทำให้หมดไป"




twitter : @champsiwa

15 กันยายน 2556

เส้นทาง...


      หลังจากห่างหายไปนานไม่ได้เขียนบทความใหม่เลย มาในบทความนี้จะมากล่าวถึงเส้นทางของผู้ชนะหรือเส้นทางแห่งความสำเร็จครับ ก่อนอื่นที่จะกล่าวถึงเส้นทางทั้ง 2 เรามาดูประวัติศาสตร์นักเดินทางกันหน่อย รู้หรือไม่ว่า ?
     - Christopher Columbus ค้นพบทวีปอเมริกา เพราะเขาหลงทาง
     - Marco Polo ออกเดินทางโดยเรือจากเวนิช ถึงพม่า และถูกจับเป็นเชลยทางทะเล ทำให้เราได้อ่านบันทึกการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ของเขา
     - Che Guevara ออกเดินทางจาก Buenos Aires บ้านเกิด มาสมทบกับ Fidel Castro เพื่อปลดปล่อยคิวบา แต่ที่เขาชวนเพื่อน ๆ ขับมอเตอร์ไซด์ไปคิวบาเพราะเขา อกหัก
   
     คนส่วนมากคิดว่าบนเส้นทางที่เดินจะมีจุดหมายเพียง 2 อย่าง คือ ความล้มเหลว กับ ความสำเร็จ มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่คิดว่าบนเส้นทางที่พบเจอกับความล้มเหลวสุดท้ายปลาอยทางมีความสำเร็จรออยู่ จากตัวอย่างนักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ท่านที่กล่าวมา จะเห็นว่าการที่เขาทั้งหลายประสมความสำเร็จล้วนแล้วแต่เจอกับความล้มเหลวมาก่อน

     ในเมื่อคนส่วนใหญ่คิดเพียงแค่ว่ามีเส้นทางที่ล้มเหลว กับ เส้นทางที่สำเร็จ เมื่อเขาประสบกับความล้มเหลวแน่นอน เขาย่อมคิดว่าเขาได้มาผิดทางแล้ว บ้างก็เดินถอยหลังกลับ บางก็หยุดเดินไปซะดื้อ ๆ เกิดความท้อแท้ หมดกำลังใจ สุดท้ายก็จบลงอยู่กับความล้มเหลวนั้นเอง

     คนส่วนน้อยที่คิดว่าความล้มเหลวเป็นเพียงฉากหน้าของความสำเร็จ เมื่อเผชิญกับความล้มเหลว ก็จะจดจำไว้เป็นบทเรียน แล้วลุกขึ้นก้าวเดินต่อไป ยิ่งเจอกับความล้มเหลวมากเท่าไหร่ ก็จะมีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เมื่อทำการปรับปรุงแก้ไข เกิดการเรียนรู้ ไม่ทำผิดพลาดซ้ำซ้อน สุดท้ายผลของความพยายามก็รออยู่ตรงหน้า นั้นคือความสำเร็จ

     ในโลกของการลงทุนก็เช่นกัน คนส่วนมากก็ยังคงคิดว่ามีเพียงเส้นทางที่ล้มเหลว กับ เส้นทางที่จะสำเร็จ จึงเฝ้ามองหาสูตรสำเร็จของการลงทุน เห็นวิธีแบบนี้แล้วประสบความสำเร็จก็เอาบ้าง เห็นใครเขามีแนวทางที่ประสบผลสำเร็จก็แห่ตามไปใช้ ซึ่งจริง ๆ แล้วสูตรสำเร็จของการลงทุนนั้นแทบไม่มี แต่ละคนย่อมมีจริตเป็นของตัวเอง พอเจอกับความล้มเหลวก็โทษวิธีนั้น ๆ ว่าใช้ไม่ได้จริง ถอดใจหยุดเดิน หยุดหาความรู้เพิ่มเติม สุดท้ายก็ยังคงล้มเหลว คนส่วนน้อยที่คิดว่ายิ่งเจอกับความล้มเหลวเท่าไหร่ ความสำเร็จยิ่งใกล้เขาเข้ามา จะพยามยามปรับปรุงแก้ไขในข้อผิดพลาด ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ใช้ความล้มเหลวที่พบเจอมาเป็นบทเรียน สุดท้ายรางวัลของเขาก็คือ "ความสำเร็จ"

“ หนทางไกล นับหมื่นลี้... ต้องเริ่มต้นด้วย...ก้าวแรก ”

- เล่าจื้อ -




twitter : @champsiwa

27 กรกฎาคม 2556

พลังของการคิดบวก




     วันนี้มีเรื่องมาเล่าเกี่ยวกับความคิดอีกแล้ว จากบทความก่อนหน้านี้ที่เคยพูดไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องของความคิด เริ่มต้นจาก..."ความคิด"  ซึ่งในบทความนั้นนำเสนอให้เห็นมุมมองความคิดที่แตกต่างกัน และความคิดที่แตกต่างกันนั้นเองก็จะนำพาไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอีกด้วย

     มาในบทความนี้เผอิญได้ไปอ่านเจอบทความทางวิทยาศาสตร์ซึ่งอธิบาย ไขความลับเรื่องที่ว่า ทำไมคนที่ล้มเหลวในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องความรัก เรื่องการเรียน เรื่องธุรกิจ ฯลฯ พยายามอีกกี่ครั้งก็ยังคงล้มเหลวอยู่ ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จได้ทั้งเรื่องงาน ชีวิตรัก การเรียน ทำธุรกิจอะไรก็รุ่งเรื่อง ร่ำรวยขึ้นตลอด คน ๆ นั้นไม่ว่าจะหยิบจับ ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จไปซะหมด ผลงานวิจัยทางวิทยศาสตร์ชิ้นนี้ ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างกันของคนสองลักษณะนี้ ความลับอยู่ที่พลังของการคิด "บวก" นั้นเองครับ

     ถ้าเรามีความคิดในแง่ลบ คิดว่าทำไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำอย่างไรก็ประสบผลสำเร็จไม่ได้ เราก็จะประสบพบเจอแต่ความล้มเหลวอยู่เสมอไม่ว่าจะพยายามอีกสักกี่ครั้ง แต่ถ้าเราเริ่มจากเปลี่ยนความคิด ให้คิดในแง่บวกนอกจากจะเสริมสร้างกำลังใจที่ดีให้กับตนเองแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้ประสบผลสำเร็จได้อีกด้วย งานวิจัยทางวิยาศาสตร์นี้กล่าวถึงกลไกในสมองของมนุษย์ซึ่งมีส่วนหนึ่งที่เรียกว่า "นิวรอน" นั้นเองครับลองดูคลิปวิดีโอด้านล่างนี้ครับ



(สำหรับผู้ที่ดูบนโทรศัพท์หากคลิปไม่ขึ้นสามารถกดได้ ที่นี่ "นิวรอน" )

     ในโลกของการลงทุนพลังของการคิดบวกก็สำคัญไม่ใช่น้อย ในยามที่เราลงทุนแล้วเกิดขาดทุนความคิดในแง่ลบ ความคิดแย่ ๆ ทัศนคติแย่ ๆ ที่มีต่อการลงทุนก็จะเข้ามาในสมองของเรา นานวันเข้าก็จะทำให้เรามองการลงทุนในแง่ลบ ซึ่งก็ยากที่จะทำให้เราประสบผลสำเร็จได้ หรือทำให้เราออกจากสนามการลงทุน แต่ในทางกลับกันเมื่อเราผิดพลาด เราก็เก็บมาเป็นประสบการณ์ นำมาปรับปรุงแก้ไข ปรับทัศนคติต่อการลงทุนของเราซะใหม่ สุดท้ายคือคิดในด้านบวกเข้าไว้ เพราะมันคือพลังที่ยิ่งใหญ่

สองเชื้อโรคในหัว
ที่ทำให้คนคนหนึ่งอ่อนแอเกินกว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต
คือความคิดว่า "ทำไม่ได้" กับความคิดว่า "ยังไม่ต้องทำตอนนี้ก็ได้"


               twitter : @champsiwa

30 มิถุนายน 2556

จากสิ่งเล็ก ๆ

     เคยคิดน้อยใจกับตัวเราเองไหมครับว่า ? ทำไมเราเกิดมามีต้นทุนน้อยนิดกว่าคนอื่นเหลือเกิน เงินทองที่พ่อแม่มีมาให้แทบจะไม่มี ลองมองดูมรดกที่เราจะได้รับในอนาคตก็แทบจะไม่มีอะไรเลย สติปัญญาก็ไม่ดีเลิศ พรสวรรค์น่ะหรอลืมไปได้เลย แต่ถ้าเรามัวแต่คิดน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาชีวิตของตัวเองก็คงจะได้แต่อยู่กลับที่ ลองย้อนกลับไปอ่านบทความนี้ เริ่มต้นจาก..."ความคิด" แล้วลองเปลี่ยนความคิดดูครับ

     บทความนี้ก็เลยจะหยิบยกเรื่องราวของบุคคลหนึ่งมาให้อ่านกันครับ ลุงคนนี้มีชื่อว่า Ingvar Kamprad ดูจากชื่อแล้วน้อยคนนักที่จะรู้จักแต่ถ้าเอ่ยถึงชื่อแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ว่า "IKEA" คงจะเป็นที่รู้จักกันทุกคน


Ingvar Kamprad ขอบคุณภาพจาก bloomberg.com

     รู้หรือไม่ครับว่าลุง Ingvar Kamprad ผู้ก่อตั้ง IKEA ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกนี้ เริ่มต้นธุรกิจของเขาในปี 1943 เมื่อเขาอายุได้เพียง 17 ปี โดยเริ่มต้นจากการขาย "ไม้ขีดไฟ" อ่านไม่ผิดครับ เขาเริ่มจากการที่ไปรับซื้อไม้ขีดไฟแบบเหมา แล้วนำมาบรรจุกล่อง เร่ขายตามหมู่บ้านและหัวเมืองต่าง ๆ หลังจากนั้นเขาก็ขยายกิจการไปสู่ เครื่องเขียน เครื่องตกแต่งงานคริตส์มาส เมล็ดพืช กระเป๋า นาฬิกา และอื่น ๆ จนมาจบที่เครื่องเรือนและเฟอร์นิเจอร์ราคาประหยัด และสุดท้ายก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในปัจจุบัน

      Ingvar Kamprad ไม่ได้เป็นคนที่มีต้นทุนชีวิตมากมาย เขาเติบโตมาในฟาร์ม ฐานะทางบ้านยากจน ทำอาชีพด้านการเกษตร แต่เขามีนิสัยรักที่จะรวย รักที่จะทำธุรกิจมาตั้งแต่วัยรุ่น นิสัยส่วนตัวเขาเป็นคนสมถะ ขยันและทำงานหนัก ปัจจุบัน IKEA ที่เขาสร้างมากว่า 50 ปี มีสาขา 300 สาขาใน 44 ประเทศ ในปี 2012 เขามีทรัพย์สินสุทธิ $42.6 billion

     ในโลกของการลงทุนเมื่อเราเริ่มเข้าสู่ตลาดด้วยต้นทุนในพอร์ตน้อยนิด อาจจะแค่หลักพัน หลักหมื่น ถ้าเรามัวแต่น้อยเนื้อต่ำใจว่าเงินแค่นี้ไม่ทำให้เราร่ำรวยได้หรอก เราลองเปลี่ยนแนวคิดของเราว่าถือเป็นโอกาสอันดีของเราเมื่อพอร์ตเราเล็ก การบริหารจัดการก็จะง่าย เราก็เริ่มต้นบริหารจัดการวางแผนจากพอร์ตเล็ก ๆ ของเรา เหมือนที่ Ingvar Kamprad เริ่มต้นจากการขายไม้ขีดไฟ ถ้าเราบริหารพอร์ตลงทุนเล็ก ๆ ของเราได้แล้ว จากนั้นเราก็สะสมเพิ่มเติม เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ขยับขยายจากพอร์ตเล็ก ๆ ของเราสักวันมันก็จะได้เป็นพอร์ตใหญ่ ๆ เหมือนคนอื่นเขาที่ประสบความสำเร็จสักที

"ทุกอย่างมันไม่มีทางลัด ไม่ใครมาเสกมาสร้างให้เรา 
เราจะต้องลงมือทำ ต้องพยายามสร้างด้วยตัวเราเอง"
-Ingvar Kamprad-

    

                                                                                                                                                                                         twitter : @champsiwa

11 มิถุนายน 2556

เริ่มต้นจาก..."ความคิด"


     ห่างหายไปนานเลยจากบทความก่อนหน้านี้ ช่วงนี้ทุกอย่างยุ่ง ๆ ก็เลยไม่มีเวลาคิดบทความที่จะมาเขียน พอว่าง ๆ ก็เลยนึกอยากจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการรคิด ซึ่งการคิดนี่แหล่ะมันเป็นจุดเริ่มต้นของทุก ๆ อย่าง ความคิดก็เริ่มจาก ความสงสัย > ตั้งคำถาม > หาคำตอบ คนที่มีการจัดการกับความคิดของตัวเองได้ดีแล้วนั้น นอกจากจะมีโอกาสประสบผลสำเร็จยังจะทำให้มีความสุขได้อีกด้วย ลองมาดูเหตุการณ์นี้ดูครับเรื่องเล่าเหตุการณ์นี้ได้อ่านมาจาก Twitter @MJ_Eig ครับ

    ถ้าถามตัวเองว่า "ในสถานการณ์อย่างนี้ เราจะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร ?"
    ภาพในหัวก็คงไม่พ้นเรื่องแย่ ๆ ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนคต และเราก็จะได้คำตอบว่า "นั่นสิเราจะทำเพื่ออะไรกันวะ เลิกทำเสียดีกว่า"
   
    แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนคำถามใหม่ "ในสถานการณ์อย่างนี้เราจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้มันดีขึ้น ?"
    ทีนี้ ภาพในหัวของเราก็จะเปลี่ยนไป เกิดเป็นทางเลือกต่าง ๆ ที่จะทำให้เรื่องมันดีขึ้น เราก็แค่เลือกมันมาสักทางที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด แล้วก็ไปต่อ

     แค่เราเปลี่ยนคนถาม ภาพในหัวเราก็เปลี่ยน และเมื่อภาพในหัวเราเปลี่ยน ความเชื่อของเราก็จะเปลี่ยน ความรู้สึกเราก็จะเปลี่ยน แล้วเมื่อความรู้สึกเราเปลี่ยน การกระทำของเราก็จะเปลี่ยน เมื่อการกระทำของเราเปลี่ยน ผลลัพธ์ย่อมเปลี่ยน สุดท้ายผลลัพธ์ที่เปลี่ยน ก็จะทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยน

     ยังมีอีกหลาย ๆ ตัวอย่างที่จะหยิบยกมานำเสนอ ลองมาอ่านดูอีกสักหนึ่งตัวอย่าง
     นายคิดดี และ นายเฉยชา เป็นเพื่อนกัน ทั้ง 2 คนมีแนวคิดที่ต่างกัน วันหนึ่งทั้ง 2 คนคุยกันถึงความฝันว่าอยากจะเป็นเจ้าของรถหรูสักหนึ่งคันเป็น Lamborghini ละกัน (แบบไม่หนีภาษีนะครับ ฮ่า ๆ แซว ๆ) นายคิดดี จะมีความคิดที่ว่า "จะทำวิธีไหนได้บ้างเพื่อที่จะได้รถ Lamborghini มาขับ" ส่วนนายเฉยชา มีความคิดที่ว่า "รถแพงเหลือเกินเป็นไปไม่ได้หรอก อย่าฝันเฟืองเลย" หลังจากแนวคิดของทั้งคู่นั้น นายคิดดี ตั้งใจทำงาน หารายได้เสริม อมออม นำเงินมาลงทุน ส่วนนายเฉยชา นำเงินที่หามาได้ในการเที่ยวเตร่ เพราะคิดว่าไม่มีเก็บเงิน หาเงินได้ขนาดซื้อรถหรูได้หรอก เอาเงินที่ได้มาหาความสุขดีกว่า

     เราลองมามองดูผลลัพธ์ของทั้ง 2 คน กรณีที่ดีที่สุด นายคิดดีจะได้เป็นเจ้าของรถหรู ส่วนนายเฉยชาก็คงไม่ได้เป็นเจ้าของรถอะไรเลย ในกรณีที่กลาง ๆ นายคิดดีอาจจะมีเงินไม่พอซื้อ Lamborghini แต่อาจจะเป็น Benz Sport สักคัน ส่วนนายเฉยชาก็ยังคงไม่มีอะไรเลย ในกรณีที่แย่ นายคิดดีอาจจะได้เป็นเจ้าของรถญี่ปุ่นสักคัน ส่วนนายเฉยชาก็คงไม่มีอะไรเลยเหมือนเดิม

     ในโลกของการลงทุนการเริ่มต้นจากความคิดนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ความคิดนำพาไปสู่การกระทำ และนำไปสู่ผลลัพธ์ของการลงทุน จากบุคคลที่ประสบผลสำเร็จจากการลงทุนจะมีความคิดและทัศนคติที่ดีมาก จะไม่ใช่คนที่เก่งเรียนจบระดับด๊อกเตอร์ที่จำประสบผลสำเร็จได้เสมอไป

"ตีลูกให้ถึงดวงจันทร์ ถึงพลาดก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว" จากโฆษณาเบียร์สิงห์



twitter : @champsiwa

26 พฤษภาคม 2556

จากร้าย... กลายเป็นดี


     วันนี้จะมาเขียนบทความเกี่ยวกับบุคคลคนหนึ่งอีกแล้ว คนนี้มีชื่อว่า โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เมื่อได้ยินชื่อนี้หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่คุ้นหรือยังงงอยู่ว่าเขาคือใคร แล้วเขาคนนี้มีอะไรน่าสนใจหรือ แต่ถ้าบอกว่าเขาคนนี้คือ โทนี่ สตาร์ค พระเอกคนดังจากภาพยนตร์เรื่อง IRON MAN ทุกคนคงร้องอ๋อกัน แล้วอะไรที่น่าสนใจล่ะ ถ้าในเรื่อง IRON MAN ก็คงไม่ต้องพูดอะไรมากเพราะเชื่อว่าเกือบจะทุกคนรู้จักเรื่องนี้ แต่ชีวิตจริงของเขาต่างหากที่น้อยคนนักจะรู้ 
  
     โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ปัจจุบันอายุ 48 แล้ว เขาเข้าวงการตั้งแต่ปี 1970 มีผลงานทั้งหนังและซีรีย์ ทั้งครอบครัวเขาเป้นคนดังทั้งหมด ใช้ชีวิตเป็นนักแสดงอาชีพ ได้รางวัลมากมาย เช่น Golden Globe Award หลายครั้ง เคยเข้าชิง OSCAR 2 ครั้ง เมื่อมีชื่อเสียงขึ้นมา มีพรสวรรค์มากมาย และมีเงิน ทำให้เขาผิดพลาดจากสิ่งยั่วยุ ไม่ว่าจะยาเสพติดและปาร์ตี้ ช่วงปี 2001 เขาเสพยาหนักมาก และต้องติดคุกในคดียาเสพติดมาแล้ว ในความผิดพลาดนี้ทำให้เขาเกือบจะหมดอนาคตในวงการบันเทิง

     โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ได้เข้ารับการบำบัดอยู่หลายครั้ง จนกลับมาเลิกยาเสพติด เลิกติดการจัดปาร์ตี้ และทุ่มเทให้กับงานแสดงอย่างเป็นมืออาชีพ แล้วเขาก็เดินหน้ากวาดรางวัลมากมาย ผลงานที่เด่นดังของเขาเช่น Iron Man, Sherlock Holmes ทำให้คนทั่วโลกได้รู้จักเขา ปัจจุบันขา clean และละเลิกทั้งหมดแล้ว มีการคาดกันว่าเขาได้รับค่าตอบแทนไม่น้อยกว่า 50 ล้านเหรียญต่อภาคเลยทีเดียว


     เรื่องของ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เป็นตัวอย่างให้เราเห็นว่าความสำเร็จในชีวิตไม่ได้มาง่าย ๆ และไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ต้องผ่านความผิดพลาด ล้มเหลว สิ่งเหล่านี้เป็นบททดสอบสำคัญให้เราไปถึงยังจุดหมายในระยะยาว โดยอาศัยความพยายามและความทุ่มเท ไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบาก เรียนรู้จากข้อผิดพลาดและใช้เป้นบทเรียนสอนใจ

     ในโลกของการลงทุน ความผิดพลาด การหลงผิดเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ ถ้าเรายอมจำนนและยอมแพ้ แน่นอนเราไม่มีทางประสบผลสำเร็จในระยะยาวได้แน่นอน แต่เมื่อเรานำข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น มาทำการแก้ไข ไม่ว่าข้อผิดพลาดนั้นจะเนื่องมาจาก ระบบของเรา สภาพจิตใจของเรา หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราไม่ละซึ่งความพยายามและทุ่มเทให้กับมัน จดจำทุกอย่างไว้เป็นบทเรียนและทำการปรับปรุงแก้ไข เชื่อว่าความสำเร็จคงอยู่ไม่ไกลจนเกินไป ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ...

Tony Stark: Falling in line's not really my style.
 (ทำตามกฎมันไม่ใช่สไตล์ผมเท่าไหร่)



twitter : @champsiwa

12 พฤษภาคม 2556

กว่าจะเป็นวันนี้...


     วันนี้จะมาเล่าให้ฟังถึงบุคคลคนหนึ่งซึ่งในช่วงนี้เป็นกระแสแรงมาก บุคคลคนนี้เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างสุดยอดคนนึงของโลก ใช่แล้ว บุคคลนี้มีนามว่า "Sir Alexander Chapman Ferguson" หรือที่เรารู้จักในในนาม เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรือเราเรียกสั้น ๆ กันว่า เฟอร์กี้ ลองมาดูประวัติของบุคคลคนนี้ดูครับ

     เฟอร์กี้ เป็นคนสก็อตแลนด์โดยกำเนิดครอบครัวทำงานที่อู่ต่อเรือ มีฐานะค่อนข้างยากจน จากนั้นเฟอร์กี้เริ่มต้นเข้าสู่วงการฟุตบอล ด้วยการเป็นนักฟุตบอลอาชีพในตำแหน่งกองหน้า ค้าแข่งกับหลายสโมสรผลงานการเป็นนักฟุตบอลก็ถือว่ายอดเยี่ยม

     แต่สิ่งที่จะเน้นและกล่าวถึงคือการทำหน้าที่เป็นกุนซือของเฟอร์กี้ มีประวัติที่ไม่ธรรมดา เขาเริ่มต้นคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1986 โดยในยุคนั้น แมนยูฯ ไม่ใช่ แมนยูฯ ในแบบทุกวันนี้ ถือว่าเป็นทีมที่ไม่ได้ มีผลงานอันโดดเด่นอะไร (แฟนบอลคงรู้กันดียุคนั้นเป็นยุคของหงส์แดงเขาล่ะ) ในฤดูกาลแรกของการทำหน้าที่ผู้จัดการทีม เขาพาแมนยูฯ รอดพ้นจากการตกชั้น โดยคว้าลำดับที่ 11 ในตาราง

     ในฤดูกาลถัดมาผลงานของเฟอร์กี้ ใน 8 นัดแรกแมนยูฯ ไม่พบกับชัยชนะเลยแม้แต่นัดเดียว แฟนบอลต่างไม่พอใจ ชูป้ายไล่เฟอร์กี้ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม และจุดตัดสินชะตาของการทำหน้าที่ผู้จัดการทีมก็มีถึงในเกมส์ FA cup รอบ 3 ถ้าเขาพาทีมตกรอบ เขาจะถูกปลดออกจากตำแหน่งทันที แต่แล้วเขาพาทีมชนะผ่านเข้ารอบไปได้ และยิ่งไปกว่านั้น เฟอร์กี้ พาแมนยูฯ ผ่านทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของถ้วยใบนี้ โดยพบกับทีม คริสตอล พาเลซ ความสำเร็จแรกของเขามาถึง เขาพาแมนยูฯ คว้าแชมป์แรกในการคุมทีมของเขาได้สำเร็จ

     และนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ ในปี 1999 เฟอร์กี้พาแมนยูฯ คว้าได้ถึง 3 แชมป์ (พรีเมียร์ลีก, FA cup, ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก) สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง แห่งสหราชอาณาจักร ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เขาเป็นอัศวินแห่งอังกฤษ นับเป็นชาวสกอตเพียงไม่กี่คน ที่ได้รับเกียรติอย่างสูงเช่นนี้ จนถึงวันนี้เฟอร์กี้ใช้เวลาในการสร้างแมนยูฯ มากว่า 27 ปีคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 13 สมัยและกวาดถ้วยรางวัลจากรายการอื่น ๆ กว่า 30 ถ้วย

     ในโลกของการลงทุนต้องใช้เวลา และความอดทนในการประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน ลองเปรียบเทียบการเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอล มาเป็นผู้จัดการพอร์ตการลงทุน เราอาจไม่ได้มีทุนเริ่มต้นมากมาย (เหมือนเฟอร์กี้เกิดในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย) ในตอนเริ่มแรกเราอาจจะขาดทุน มีผลตอบแทนที่แย่กว่าตลาด (เหมือนกับการคุมทีมแล้วตกชั้น หรือรอดพ้นอย่างฉิวเฉียด) เมื่อเราเริ่มศึกษา และเรียนรู้มากขึ้น เราอาจจะมีผลตอบแทนเทียบเท่าตลาด (เหมือนกับการคุมทีมแล้วอยู่รอดปลอดภัยบนลีกสูงสุดได้สบาย) จากนั้นเมื่อเราฝึกฝนมากขึ้น ประสบการณ์เยอะขึ้น ผลตอบแทนพอร์ตการลงทุนของเราชนะตลาดได้อย่างกระจุยกระจาย (เหมือนกับการคุมทีมแล้วคว้า Triple Champ มาครองได้สำเร็จ)

     ความสำเร็จไม่ได้มาง่าย ๆ เพียงชั่วข้ามคืนต้องใช้ความอดทน ใช้ระยะเวลา ไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบาก เรียนรู้จากความผิดพลาดแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข สิ่งที่เล่าให้ฟัง อาจจะไม่ได้เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน แต่เราสามารถศึกษาประวัติชีวิต และนำข้อคิดที่ได้มาปรับใช้กับการลงทุนของเราได้เหมือนกัน ปล.หวังว่าบทความนี้จะไม่ขัดใจแฟนหงส์นะจ๊ะ อิอิ

"อย่ารังเกียจความผิดพลาด แต่กุญแจสำคัญคือ ต้องชนะมากกว่าแพ้" -เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน-