30 มีนาคม 2556

รู้อะไรก็ไม่สู้ "รู้งี้"



เคยไหมสอบ Admission คะแนนไม่ถึงคณะที่ใฝ่ฝัน ?
รู้งี้ !!! ตั้งใจเรียนดีกว่า

เคยไหมขับรถทางปกติ เจอรถติดแหง่ก ?
รู้งี้ !!! ยอมเสียตังค์ขึ้นทางด่วนดีกว่า

เคยไหมผับปิดแล้วไม่ได้เบอร์สาวที่เล็งไว้ ?
รู้งี้ !!! เดินเข้าไปขอซะก็ดี


รู้งี้ รู้งี้ รู้งี้ รู้งี้ รู้งี้ ในชีวิตเราต้องพูดคำว่ารู้งี้ มาแล้วกี่ครั้ง แล้วต้องพูดคำว่ารู้งี้ไปอีกกี่ครั้งกัน ???

     ทุกคนคงมีประสบการณ์ต่าง ๆ มากมายที่สุดท้ายแล้วต้องมาพูดคำว่า "รู้งี้" แน่นอนครับ มันแสดงถึงการที่เรารู้สึกเสียดาย หรือการที่เราตัดสินใจอะไรพลาดไป หรือกระทำบางอย่างผิดพลาดไป หรืออยากกระทำอะไรบางอย่างแต่ไม่กล้าจะทำ หรืออะไรอีกเยอะแยะไปหมดครับ

     ในโลกของการลงทุนเราได้ยินคำว่า "รู้งี้" บ่อยมากไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์
- ซื้อหุ้นปุ๊ปราคามันก็ตกลงปั๊ป (รู้งี้ ไม่ซื้อซะดีกว่า)
- เล็งแล้วเล็งอีกไม่ซื้อสักทีไม่นานราคาก็วิ่งขึ้น หรือตกรถนั่นเอง (รู้งี้ ซื้อซะก็ดี)
- ขายทิ้งปุ๊ปราคาวิ่งขึ้นปั๊ป หรือขายหมูนั่นเอง (รู้งี้ ยังไม่ขายดีกว่า)
- มีหุ้นอยู่ราคาเริ่มลดลงไม่ยอมตัดขาดทุน หรือติดดอย (รู้งี้ ขายทิ้งก็ดี)
     ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ครับ ที่จะได้ยินคำว่า "รู้งี้" แล้วทำอย่างไรดีล่ะไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างงี้

     วิธีที่จะแก้ให้หายขาดบอกได้เลยครับว่า "ยากส์" มาก แต่พอมีวิธีช่วยบรรเทาลงได้จากเหตุการณ์ที่เราพูดว่ารู้งี้ นั้นจะเกิดจากการตัดสินใจผิดพลาด หรือเสียดายที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ สิ่งที่จะช่วยเราได้ดีอย่างหนึ่งก็คือ การจดบันทึกครับ
     เช่นในการที่เราจะซื้อหรือขายหุ้นแต่ละครั้ง ให้เราทำการบันทึกเหตุผลที่เราทำการซื้อหรือขายหุ้นนั้น ๆ ครับ แล้วถ้าวันนึงเราพูดขึ้นมาว่า "รู้งี้" อีก ให้กลับมาดูเหตุผลที่เราทำการซื้อหรือขายครับ สิ่งนี้มันจะทำให้เราจดจำได้ว่าเหตุผลที่เรากระทำไปในครั้งนั้นเป็นเหตุผลที่ผิดพลาดครับ สิ่งที่จะทำต่อไปก็คือจดจำข้อผิดพลาดเหล่านั้นแล้วอย่าทำให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง เราก็จะลดปริมาณของ "รู้งี้" ลงได้บ้างครับ

   ลองไปฟังเพลงขำ ๆ กันครับ >>  รู้อะไรไม่สู้รู้งี้

      สิ่งที่สำคัญถ้าเราได้กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน ทำในสิ่งที่เราคิดว่าเราจะรู้สึกเสียดายถ้าเราไม่ได้กระทำออกไป แม้สุดท้ายแล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไรจงอย่าได้เสียใจ และจงยอมรับกับผลของมันครับ แค่นี้มันก็คงทำให้เรามีความสุขแล้ว







23 มีนาคม 2556

สิ่งที่ติดตัว "เรา"

     ครั้งนี้เรามาพูดกันถึงสิ่ง ๆ หนึ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์ปุถุชนธรรมดาทั่ว ๆ ไปอย่างเรา ๆ กันครับ สิ่งนั้นก็คือ "กิเลส" แน่นอนครับเราทุกคนล้วนแล้วแต่อยู่กับกิเลสกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะ รัก โลภ โกรธ หลง กลัว อิจฉา ริษยา ฯลฯ โอย... เยอะแยะไปหมดครับ

     กิเลสเหล่านี้จะมีอธิพลต่อเรา ในแต่ละคนไม่เท่ากันครับ ใครปล่อยให้อารมณ์พุ่งนำเหตุผล ยิ่งทำให้กิเลสเหล่านี้เข้าครอบงำและควบคุมตัวเราไว้ คนไหนควบคุมและกำจัดอารมณ์ออกไปได้ กิเลสย่อมยากที่จะเข้าทำร้ายคนนั้นได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมและจัดการกับสิ่งเหล่านี้ครับ

     ในโลกของการลงทุนมีกิเลสที่พูดถึงกันอยู่ 2 ตัวได้แก่ "ความโลภ" และ "ความกลัว" กิเลสสองตัวนี้สร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นกับตลาดหุ้นมากมาย ทำให้เกิดวัฏจักรของการลงทุนขึ้น

มีความหวัง > โลภ > ชักสงสัย > เริ่มกลัว > ตกใจ  > สิ้นหวัง > มีความหวัง  ...

                                                              ขอบคุณภาพจาก : CBSNEWS

     จากภาพบอกอะไรเราได้หลายอย่างครับ การขึ้นลงของตลาดก็อยู่ที่กิเลสของคนที่อยู่ในตลาดนั้นเองครับ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนสด ๆ ร้อน ๆ เลยก็ตลาดหุ้นบ้านเรานี่เองครับ SET ลดระดับลงมา จากจุดสูงสุด 1601.34 จุด ลงมาต่ำสุด 1464.72 จุด ใช้เวลาเพียงแค่ 4 วันเท่านั้น อย่างกับว่ากิจการต่าง ๆ กำลังจะเจ๊ง คงปฎิเสธไม่ได้หรอกว่า มันมาจากกิเลสทั้งนั้น

     จากข่าวเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ 2-3 เดือนมีการเปิดบัญชีหลักทรัพย์เพื่อซื้อขายหุ้นใหม่กว่า 40,000 บัญชีซึ่งเยอะมาก (การคาดการณ์ปกติทั้งปีประมาณ 100,000 บัญชี) คงปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า เมื่อเห็นตลาดหุ้นขาขึ้นคนเราก็เกิดความโลภ ทำให้ยอดเปิดบัญชีเยอะขนาดนี้ แล้วพอเห็นปรากฎการณ์แบบสัปดาห์ที่ผ่านมา แน่นอนคงได้ยินเสียงโอดครวญกันบ้าง อีกสักหน่อยก็คงประวัติศาสตร์ซ้ำรอย กล่าวหาว่า "ตลาดหุ้นก็เหมือนการพนัน"

     เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ ถ้าเรามีระบบ มีการจัดการกับอารมณ์ ไม่ปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำ มีวินัยในการลงทุน มีการบริหารเงินที่ดี เชื่อแน่ว่าต้องประสบกับความสำเร็จครับ แม้จะขาดทุนบ้าง ล้มเหลวบ้าง ขอแค่ลุกขึ้นมา ใช้ประสบการณ์ให้เป็นบทเรียน สมการของความสำเร็จง่าย ๆ ครับ

จำนวนครั้งที่ล้ม = จำนวนครั้งที่ลุก


    

19 มีนาคม 2556

น้ำเต็มแก้ว



     เปิดมาด้วยเพลงเพราะ ๆ เลยทีเดียว เรื่องราวในตอนนี้จะเป็นการเปรียบเทียบคนเรากับ "แก้วน้ำ" ใบนึงที่ว่างเปล่า ส่วนความคิด ความรู้ ความรู้สึก ความ... อะไรก็แล้วแต่ ก็เปรียบเสมือนกับ "น้ำ"

    แน่นอนแต่ละคนย่อมมีความเป็นตัวของตัวเอง ความคิดเป็นของตัวเอง ความรู้ในสาขาที่ตัวเองร่ำเรียนมา ความรู้สึกต่าง ๆ ตามแต่อารมณ์และอุปนิสัย ก็เปรียบเสมือนกับว่ามีน้ำที่เต็มแก้ว

    ปัญหาก็อยู่ตรงที่น้ำมันเต็มแก้วนี่ล่ะ ที่ทำให้เรายอมรับฟังคนอื่นได้น้อยลง ยอมรับในสิ่งต่าง ๆ ที่ขัดกับความเชื่อของตัวเองไม่ได้ ไม่กล้าทำในสิ่งที่คิดว่าไม่ปลอดภัยและไม่คุ้นเคย และก็อะไรอีกหลาย ๆ อย่างทำให้หลาย ๆ ครั้งด้วยกันที่การที่ทำตัวเสมือนน้ำเต็มแก้วนี้ ทำให้เราพลาดโอกาสดี ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต พลาดโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ พลาดโอกาสในการลิ้มลองประสบการณ์แปลกใหม่

     ในโลกของการลงทุนก็เช่นเดียวกัน ถ้าเรายึดมั่นในความคิดของตัวเองมากเกินไป ไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ปฏิเสธการเรียนรู้ในแนวทางที่ตนเองไม่ถนัด ดันทุรังทำในสิ่งที่ผิดซ้ำ ๆ ย่อมจะประสบความสำเร็จได้ยาก

    มีข้อแนะนำมาฝากเราควรทำตัวให้เหมือนกับแก้วที่ว่างเปล่าอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่ว่าเทน้ำที่มีอยู่ทิ้ง แต่ให้เราเทน้ำนั้นใส่ลงไว้ในโอ่ง จากนั้นออกไปค้นหา ออกไปเรียนรู้ ออกไปรับฟัง ออกไปพบเจอ แล้วตักตวงสิ่งเหล่านั้นมาให้เต็มแก้ว จากนั้นก็กลับมาเทน้ำที่เต็มแก้วลงในโอ่งใบเดียวกัน ผสมผสานน้ำในโอ่งแล้วตักขึ้นมาให้เต็มแก้ว จะพบว่าเราได้อะไรแปลกใหม่หลาย ๆ อย่าง ความรู้หลาย ๆ แนวทาง ประสบการณ์มากมาย โดยที่สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จะแฝงไปด้วยความเป็นตัวตนของเราปะปนอยู่

    ที่เขียนมายาวทั้งหมดนี้เพื่อที่จะบอกว่า เราเองต้องหารูปแบบการลงทุนของตัวเองให้เจอ โดยเราสามารถเรียนรู้ได้จากทั้งบุคคลที่ประสบความสำเร็จ และบุคคลที่ล้มเหลว นำมาลองผิดลองถูก ความผิดพลาดเราก็นำมาเป็นบทเรียน ปรับปรุงแก้ไข สังเกตุได้ว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงแต่ละท่านจะมีรูปแบบและแนวทางในการลงทุนเป็นของตัวเอง อาจเหมือน คล้าย หรือแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยก็เป็นได้...

    

    

14 มีนาคม 2556

ชัยชนะอันยิ่งใหญ่


     วันนี้นำเรื่องราวดี ๆ มาฝาก เป็นเรื่องของ Mitchell Marcus เขาเป็นเด็กพิเศษที่มีพัฒนาการสมองช้า เขาชื่นชอบกีฬาบาสเก็ตบอลเป็นชีวิตจิตใจ ถึงเขาจะไม่สามารถเล่นได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป แต่โค้ชทีมโรงเรียนมัธยม Coronado High School ได้ให้โอกาสเขาเข้าร่วมทีม ให้เขาได้ร่วมซ้อม อีกทั้งเขายังเป็นผู้จัดการและเป็นผู้ช่วยเพื่อนร่วมทีม จึงทำให้ Mitchell Marcus นั้นกลายเป็นที่รักของเพื่อน ๆ 

     และแล้วโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตของ Mitchell Marcus ก็มาถึง โดยโค้ชและเพื่อนร่วมทีมได้ให้โอกาสเขาได้สัมผัสกับการลงเล่นในเกมส์การแข่งขันจริง แม้จะเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับ Mitchell Marcus เขาต้องต่อสู้กับตนเอง โดยมีเพื่อนร่วมทีมคอยช่วยเหลือ เขาได้ใช้ความพยายามอยู่นานกว่าจะทำ 2 แต้มแรกในชีวิตการแข่งขันจริงได้ มันคือสิ่งเล็ก ๆ ที่กลายเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของคนทั้งสนาม...



     ในสนามการลงทุน เช่นเดียวกับ Mitchell Marcus เราเลือกที่จะเกิดมาสมบูรณ์แบบไม่ได้ บางคนอาจจะบ่นว่า เงินต้นก็ไม่ได้มีมากมาย ความรู้ความสามารถก็ไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้ ซึ่งแน่นอนเราเสียเปรียบนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนจากต่างชาติ เต็มทุกประตู แต่เราลองมาดูสมการนี้ครับ

จำนวนเงินทั้งหมด = เงินต้น x (1 + %อัตราผลตอบแทน)^เวลา

    จะเห็นได้ว่า "เงินต้น" แน่นอนทุกคนมีไม่เท่ากัน คนที่พ่อแม่มีฐานะดีหน่อยก็อาจจะตกทอดมาสู่ลูกเยอะ "อัตราผลตอบแทน" แน่นอนมาจากความสามารถและประสบการณ์ ซึ่งใครที่ศึกษามาเป็นอย่างดีผ่านร้อนผ่านหนาวมานักต่อนัก ก็จะมีในส่วนนี้สูง แต่ตัวแปรสุดท้าย "เวลา" ทุกคนมีวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากันครับ มีเงินมากก็ซื้อเพิ่มไม่ได้ มีความสามารถมากก็สร้างเพิ่มไม่ได้ เพราะฉะนั้นใช้เวลาที่มีอยู่ ทุ่มเทฝึกฝน สักวันหนึ่งเมื่อเรามีโอกาส เราอาจจะพบชัยชนะอันยิ่งใหญ่เหมือน Mitchell Marcus ก็ได้





12 มีนาคม 2556

หยุดสักที "ไม่มีเวลา" !!!



     จากภาวะตอนนี้ คนรอบข้างผมหันมาสนใจเรื่องการลงทุนอย่างมากโดยเฉพาะหุ้น ซึงในทุกคนๆ ล้วนแล้วแต่มีงานประจำทำ รายได้ก็ได้มาจากเงินเดือน ทำให้หลายๆ คนอยากจะอ่านนู่น ศึกษานี่ แต่ไม่มีเวลา ซึ่งมันก็ถูกใช้เป็นข้ออ้างติดปากเสมอมา

     มากกว่านั้นหลายๆ คนเลือกที่จะใช้ทางลัดในการลงทุนโดยการไปฟังหุ้นเด่น วันนี้ตัวนี้มา วันพรุ่งนี้ตัวนี้ดูดี ไม่ว่าจะหน้าหนังสือพิมพ์ โบรกเกอร์ หรือในสังคม social network แล้วก็เอามาลงทุนเก็บหุ้นเหล่านั้นเข้ามาในพอร์ต (ผมไม่กล้าบอกหรอกว่ามันเป็นวิธีที่ผิด เพราะพวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่มีประสบการณ์มากว่าผมที่เพิ่งเข้ามาศึกษาและลงทุนได้ไม่นาน) แต่สิ่งนึงที่ผมรู้คือ มันเปรียบเสมือนกับว่าพวกเขาเหล่านั้น ได้ให้ปลาแก่เรา แต่ไม่ได้ให้วิธีหาปลาแก่เรา เพราะฉะนั้นเราก็อาจจะอิ่ม (กำไร) ได้ในบางมื้อ

     เราลองนั่งลง ใช้นิ้วมือสัมผัสไปที่ข้อมือ จับการเต้นของชีพจรแล้วนับสัก 1 นาที ทำแบบนี้ 2 รอบ เราจะค้นพบได้ว่าเมื่อจิตเรานิ่ง เวลา 1 นาทีนั้นมันยาวนานกว่าที่เราคิด หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่เราอยากลองทำ อยากอ่าน อยากศึกษา มันไม่ได้จำเป็นต้องใช้เวลาเยอะมากมายเลย เราอาจจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมง ในการทำสิ่งเหล่านี้ โดยไม่ไปเบียดเบียนเวลางานประจำของเรา เวลาที่เราได้โฟกัสอยู่ในสิ่งที่คุณสนใจ เพียงแค่นี้และทำต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี สิ่งที่เราอยากทำมันก็มีโอกาสเป็นจริงและประสบความสำเร็จแน่นอน

    อย่างที่เราทุกๆ คนรู้กันดีเวลามันไม่คอยเรา มันเดินของมันไปเรื่อยๆ ในการลงทุนก็เช่น ถ้าเราศึกษาได้เร็ว ทำความเข้าใจกับมัน พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทำได้เร็วก็มีโอกาสที่จะสำเร็จได้เร็ว ได้ใช้เวลาในการลองผิดลองถูก เรียนรู้จากความผิดพลาดได้มาก
   
    "ผู้ที่เริ่มศึกษาความรู้ด้านการเงินและหาประสบการณ์ด้านการลงทุน ตั้งแต่อายุยังน้อยย่อมได้เปรียบกว่าผู้ที่ศึกษาตอนอายุมาก" Benjamin Graham