26 พฤษภาคม 2556

จากร้าย... กลายเป็นดี


     วันนี้จะมาเขียนบทความเกี่ยวกับบุคคลคนหนึ่งอีกแล้ว คนนี้มีชื่อว่า โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เมื่อได้ยินชื่อนี้หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่คุ้นหรือยังงงอยู่ว่าเขาคือใคร แล้วเขาคนนี้มีอะไรน่าสนใจหรือ แต่ถ้าบอกว่าเขาคนนี้คือ โทนี่ สตาร์ค พระเอกคนดังจากภาพยนตร์เรื่อง IRON MAN ทุกคนคงร้องอ๋อกัน แล้วอะไรที่น่าสนใจล่ะ ถ้าในเรื่อง IRON MAN ก็คงไม่ต้องพูดอะไรมากเพราะเชื่อว่าเกือบจะทุกคนรู้จักเรื่องนี้ แต่ชีวิตจริงของเขาต่างหากที่น้อยคนนักจะรู้ 
  
     โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ปัจจุบันอายุ 48 แล้ว เขาเข้าวงการตั้งแต่ปี 1970 มีผลงานทั้งหนังและซีรีย์ ทั้งครอบครัวเขาเป้นคนดังทั้งหมด ใช้ชีวิตเป็นนักแสดงอาชีพ ได้รางวัลมากมาย เช่น Golden Globe Award หลายครั้ง เคยเข้าชิง OSCAR 2 ครั้ง เมื่อมีชื่อเสียงขึ้นมา มีพรสวรรค์มากมาย และมีเงิน ทำให้เขาผิดพลาดจากสิ่งยั่วยุ ไม่ว่าจะยาเสพติดและปาร์ตี้ ช่วงปี 2001 เขาเสพยาหนักมาก และต้องติดคุกในคดียาเสพติดมาแล้ว ในความผิดพลาดนี้ทำให้เขาเกือบจะหมดอนาคตในวงการบันเทิง

     โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ได้เข้ารับการบำบัดอยู่หลายครั้ง จนกลับมาเลิกยาเสพติด เลิกติดการจัดปาร์ตี้ และทุ่มเทให้กับงานแสดงอย่างเป็นมืออาชีพ แล้วเขาก็เดินหน้ากวาดรางวัลมากมาย ผลงานที่เด่นดังของเขาเช่น Iron Man, Sherlock Holmes ทำให้คนทั่วโลกได้รู้จักเขา ปัจจุบันขา clean และละเลิกทั้งหมดแล้ว มีการคาดกันว่าเขาได้รับค่าตอบแทนไม่น้อยกว่า 50 ล้านเหรียญต่อภาคเลยทีเดียว


     เรื่องของ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เป็นตัวอย่างให้เราเห็นว่าความสำเร็จในชีวิตไม่ได้มาง่าย ๆ และไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ต้องผ่านความผิดพลาด ล้มเหลว สิ่งเหล่านี้เป็นบททดสอบสำคัญให้เราไปถึงยังจุดหมายในระยะยาว โดยอาศัยความพยายามและความทุ่มเท ไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบาก เรียนรู้จากข้อผิดพลาดและใช้เป้นบทเรียนสอนใจ

     ในโลกของการลงทุน ความผิดพลาด การหลงผิดเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ ถ้าเรายอมจำนนและยอมแพ้ แน่นอนเราไม่มีทางประสบผลสำเร็จในระยะยาวได้แน่นอน แต่เมื่อเรานำข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น มาทำการแก้ไข ไม่ว่าข้อผิดพลาดนั้นจะเนื่องมาจาก ระบบของเรา สภาพจิตใจของเรา หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราไม่ละซึ่งความพยายามและทุ่มเทให้กับมัน จดจำทุกอย่างไว้เป็นบทเรียนและทำการปรับปรุงแก้ไข เชื่อว่าความสำเร็จคงอยู่ไม่ไกลจนเกินไป ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ...

Tony Stark: Falling in line's not really my style.
 (ทำตามกฎมันไม่ใช่สไตล์ผมเท่าไหร่)



twitter : @champsiwa

12 พฤษภาคม 2556

กว่าจะเป็นวันนี้...


     วันนี้จะมาเล่าให้ฟังถึงบุคคลคนหนึ่งซึ่งในช่วงนี้เป็นกระแสแรงมาก บุคคลคนนี้เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างสุดยอดคนนึงของโลก ใช่แล้ว บุคคลนี้มีนามว่า "Sir Alexander Chapman Ferguson" หรือที่เรารู้จักในในนาม เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรือเราเรียกสั้น ๆ กันว่า เฟอร์กี้ ลองมาดูประวัติของบุคคลคนนี้ดูครับ

     เฟอร์กี้ เป็นคนสก็อตแลนด์โดยกำเนิดครอบครัวทำงานที่อู่ต่อเรือ มีฐานะค่อนข้างยากจน จากนั้นเฟอร์กี้เริ่มต้นเข้าสู่วงการฟุตบอล ด้วยการเป็นนักฟุตบอลอาชีพในตำแหน่งกองหน้า ค้าแข่งกับหลายสโมสรผลงานการเป็นนักฟุตบอลก็ถือว่ายอดเยี่ยม

     แต่สิ่งที่จะเน้นและกล่าวถึงคือการทำหน้าที่เป็นกุนซือของเฟอร์กี้ มีประวัติที่ไม่ธรรมดา เขาเริ่มต้นคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1986 โดยในยุคนั้น แมนยูฯ ไม่ใช่ แมนยูฯ ในแบบทุกวันนี้ ถือว่าเป็นทีมที่ไม่ได้ มีผลงานอันโดดเด่นอะไร (แฟนบอลคงรู้กันดียุคนั้นเป็นยุคของหงส์แดงเขาล่ะ) ในฤดูกาลแรกของการทำหน้าที่ผู้จัดการทีม เขาพาแมนยูฯ รอดพ้นจากการตกชั้น โดยคว้าลำดับที่ 11 ในตาราง

     ในฤดูกาลถัดมาผลงานของเฟอร์กี้ ใน 8 นัดแรกแมนยูฯ ไม่พบกับชัยชนะเลยแม้แต่นัดเดียว แฟนบอลต่างไม่พอใจ ชูป้ายไล่เฟอร์กี้ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม และจุดตัดสินชะตาของการทำหน้าที่ผู้จัดการทีมก็มีถึงในเกมส์ FA cup รอบ 3 ถ้าเขาพาทีมตกรอบ เขาจะถูกปลดออกจากตำแหน่งทันที แต่แล้วเขาพาทีมชนะผ่านเข้ารอบไปได้ และยิ่งไปกว่านั้น เฟอร์กี้ พาแมนยูฯ ผ่านทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของถ้วยใบนี้ โดยพบกับทีม คริสตอล พาเลซ ความสำเร็จแรกของเขามาถึง เขาพาแมนยูฯ คว้าแชมป์แรกในการคุมทีมของเขาได้สำเร็จ

     และนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ ในปี 1999 เฟอร์กี้พาแมนยูฯ คว้าได้ถึง 3 แชมป์ (พรีเมียร์ลีก, FA cup, ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก) สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง แห่งสหราชอาณาจักร ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เขาเป็นอัศวินแห่งอังกฤษ นับเป็นชาวสกอตเพียงไม่กี่คน ที่ได้รับเกียรติอย่างสูงเช่นนี้ จนถึงวันนี้เฟอร์กี้ใช้เวลาในการสร้างแมนยูฯ มากว่า 27 ปีคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 13 สมัยและกวาดถ้วยรางวัลจากรายการอื่น ๆ กว่า 30 ถ้วย

     ในโลกของการลงทุนต้องใช้เวลา และความอดทนในการประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน ลองเปรียบเทียบการเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอล มาเป็นผู้จัดการพอร์ตการลงทุน เราอาจไม่ได้มีทุนเริ่มต้นมากมาย (เหมือนเฟอร์กี้เกิดในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย) ในตอนเริ่มแรกเราอาจจะขาดทุน มีผลตอบแทนที่แย่กว่าตลาด (เหมือนกับการคุมทีมแล้วตกชั้น หรือรอดพ้นอย่างฉิวเฉียด) เมื่อเราเริ่มศึกษา และเรียนรู้มากขึ้น เราอาจจะมีผลตอบแทนเทียบเท่าตลาด (เหมือนกับการคุมทีมแล้วอยู่รอดปลอดภัยบนลีกสูงสุดได้สบาย) จากนั้นเมื่อเราฝึกฝนมากขึ้น ประสบการณ์เยอะขึ้น ผลตอบแทนพอร์ตการลงทุนของเราชนะตลาดได้อย่างกระจุยกระจาย (เหมือนกับการคุมทีมแล้วคว้า Triple Champ มาครองได้สำเร็จ)

     ความสำเร็จไม่ได้มาง่าย ๆ เพียงชั่วข้ามคืนต้องใช้ความอดทน ใช้ระยะเวลา ไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบาก เรียนรู้จากความผิดพลาดแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข สิ่งที่เล่าให้ฟัง อาจจะไม่ได้เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน แต่เราสามารถศึกษาประวัติชีวิต และนำข้อคิดที่ได้มาปรับใช้กับการลงทุนของเราได้เหมือนกัน ปล.หวังว่าบทความนี้จะไม่ขัดใจแฟนหงส์นะจ๊ะ อิอิ

"อย่ารังเกียจความผิดพลาด แต่กุญแจสำคัญคือ ต้องชนะมากกว่าแพ้" -เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน-

04 พฤษภาคม 2556

ใครกำหนด ?

 

     ตั้งแต่เป็นเด็กมาจนถึงตอนนี้สิ่งที่เราเคยได้ยิน เคยรับฟังมา บ้างก็ว่าชีวิตเราได้ถูกกำหนดไว้แล้วโดยพระเจ้า บ้างก็ว่าโชคชะตาเป็นสิ่งที่กำหนดชีวิตของเรา บ้างก็ว่าเวรกรรมเป็นตัวชี้นำชีวิตของเรา แล้วคำตอบที่ถูกต้องจริง ๆ แล้วล่ะ อะไรกำหนดชีวิตของเรา ???

     เราเคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า ในปีหน้าเรามีอะไรจะต้องทำ ? อีก 5 ปีข้างหน้าเราจะอยู่ที่ไหน ? อีก 10 ปีข้างหน้าความเป็นอยู่เราจะเป็นยังไง ? อีก 50 ปีข้างหน้าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ? บ้างก็มีคำถามแต่กลับไม่หาคำตอบ เพราะอาจจะเชื่อว่าชีวิตของเราได้ถูกกำหนดไว้แล้วไม่ว่าจะโชคชะตา หรือเวรกรรม บ้างก็มีคำตอบที่ชัดเจน ต้องดีใจกับคนกลุ่มนี้เพราะคนกลุ่มนี้ไม่รอคอยโชคชะตา หรือให้เวรกรรมพาไป คนกลุ่มนี้เลือกที่จะกำหนดชีวิตของเขาด้วยตัวเขาเอง

     มีคลิปวิดีโอจาก Youtube คลิปหนึ่งค่อนข้างน่าสนใจ โดยนำเสนอชีวิต 2 รูปแบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ลองคลิ๊กชมดูครับ >>> Which Life You Prefer???  ดูแล้วเชื่อหรือไม่ครับว่าชีวิตของเรา เราสามารถออกแบบ และกำหนดมันได้ว่าเราจะเลือกเป็นแบบใด ?

     ในโลกของการลงทุนเราสามารถออกแบบ และกำหนดวิธีการลงทุนของเราได้ด้วยตัวเองเช่นกัน ไม่ต้องรอให้อารมณ์ของตลาด หรือว่าเจ้ามือมาเป็นตัวกำหนดผลการลงทุนของเรา เราควรต้องหมั่นศึกษา เฝ้าติดตาม ตรวจสอบระบบ วางแผนจัดการเงิน สิ่งเหล่านี้เองที่จะเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนจากการลงทุนของเรา

     ชีวิตจริงการออกกำลังกายทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ชีวิตการลงทุนก็หมั่นศึกษาทำให้เรามีพอร์ตที่แข็งแรง สิ่งที่ยากลำบากในการที่จะออกกำลังกายคือความคิดที่จะเริ่มออกกำลังกาย แต่เมื่อเราตัดสินใจเริ่มต้นออกกำลัง จนเราพบกับความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อและหยาดเหยื่อที่ไหลซึมกาย มันจะรู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาดใจ เมื่อทำอย่างเป็นประจำเรายังได้ร่างกายที่แข็งแรง เช่นเดียวกันการลงทุนยากลำบากในช่วงเริ่มต้นศึกษา แต่เมื่อเราเริ่มไปแล้ว เราจะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อวันหนึ่งเราเห็นพอร์ตเราเริ่มโต มีผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ เมื่อเราทำอย่างเป็นประจำเราจะมีประสบการณ์เอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์


 "Life isn’t about finding yourself. Life is about creating yourself."

"ชีวิตไม่ใช่การค้นหาตัวเอง แต่มันคือการสร้างตัวของตัวเองขึ้นมาต่างหาก"

 - George Bernard Shaw -
    

23 เมษายน 2556

ทางของฉัน ฝันของใคร ?

     สิ่งที่จะเขียนถึงในวันนี้ เป็นสิ่งที่เชื่อว่าพวกเราทุกคนต้องมีซึ่งก็คือ "ความฝัน" แน่นอนทุกคนมีความฝัน พนันได้เลยว่าตั้งแต่เราเป็นเด็กพ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา คุณครู บุคคลเหล่านี้ต้องเคยถามเราว่า "โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร ?" เรายังจำกันได้หรือเปล่าครับ ว่าคำตอบในตอนนั้นคืออะไร ?

     แล้วถ้าตอนนี้ให้เราตั้งคำถามนี้กับตัวเราเองว่า "สิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนี้ คือตัวตนของเราหรือไม่ คือความฝันที่เราอยากเป็นหรือเปล่า ?" ถ้าคำตอบคือ "ใช่นี่แหล่ะคือตัวตนของฉัน และตอนนี้ฉันได้ทำตามความฝันแล้ว" เรายินดีด้วยครับ เพราะเชื่อได้เลยว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่คำตอบเป็นเช่นนั้น

     แล้วถ้าคำตอบคือ "นี่มันไม่ใช่ตัวตนของฉัน ทุกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นด้วยความจำเป็น" งั้นคำถามต่อไปคือ "เราลืมความฝันของเราไปแล้วหรือยัง ? เราได้เริ่มทำตามความฝันเราบ้างหรือเปล่า ?" มีคลิปนึงจาก Youtube อยากให้พวกเราได้ลองดูครับ


     ในโลกของการลงทุนความฝันก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ต่างคนต่างเข้ามาลงทุนด้วยเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป แล้วเราถามตัวเองหรือเปล่าครับว่า "ความฝันของการลงทุนเราคืออะไร ? เรามีเป้าหมายในการลงทุนอย่างไร ?"

     การที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการประสบความสำเร็จของชีวิต ไม่จำเป็นเสมอไปว่าคนที่เรียนได้ดี เรียนมาเฉพาะด้าน จบเศรษฐศาสตร์ การเงินการลงทุน ระดับปริญญาเอก แล้วเข้ามาลงทุนแล้วจะประสบความสำเร็จเสมอไป แต่ถ้าเราทุกคนมีความฝัน มีเป้าหมายในการลงทุน และขณะนี้ได้เริ่มต้นเดินทางตามความฝันของตัวเอง เชื่อได้แน่ครับว่าสักวันหนึ่งเราก็จะทำได้ดังฝันของเราครับ


"ถ้าคุณไม่สร้างความฝันของตัวเอง คนอื่นจะจ้างคุณไปสร้างความฝันของเขา" -Cway investment-

16 เมษายน 2556

จริงหรือ ? การลงทุนคือความเสี่ยง !

     เชื่อว่าคนที่อ่านบทความส่วนมากแล้วมีงานประจำทำกันหรือที่เรียกกันว่าพนักงานเงินเดือน แล้วก็เชื่อว่าในบางจังหวะชีวิตก็จะเกิดคำถามขึ้นมาอยู่ในหัวอยู่หลาย ๆ คำถามด้วยกัน ลองดูตัวอย่างดังนี้
     - เราจะต้องทำงานไปจนถึงเมื่อไหร่ ?
     - ทำอย่างไรเราถึงจะมีเงินเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ ?
     - เราจะมีเงินเหลือเก็บเดือนละเท่าไหร่ ?
     - ถ้าเราอยากเกษียณตัวเองเราน่าจะมีเงินเก็บทั้งหมดเท่าไหร่ ?

     เชื่อแน่ว่าใครที่คิดถึงอนาคตของตัวเอง ย่อมต้องมีความกังวลและมีคำถามเหล่านี้เกิดขึ้น อาจจะไม่ตรงตามนี้ทั้งหมด หรืออาจจะมากมายหลายคำถามกว่านี้ แล้วเราเคยได้คำตอบจากคำถามเหล่านี้หรือไม่ครับ ?

     แน่นอนในภาวะปัจจุบันเราต้องหาเงิน เราต้องใช้เงิน เราต้องเก็บออม แต่ว่าออมเท่าไหร่ล่ะ เมื่อเราหมดซึ่งเรี่ยวแรงที่จะทำงานแล้วเราถึงจะอยู่ได้อย่างไม่ลำบากมากมาย ลองดูตารางตามด้านล่างนี้ครับ สมมติง่าย ๆ เลยว่าเราต้องใช้เงินหลังเกษียณเดือนละ 20,000 บาท (ค่าเงินปัจจุบัน) และให้อัตราเงินเฟ้อที่คงที่เลยคือ 3% ต่อปี และเราจะเกษียณตัวเองเมื่อายุ 55 ปี เรามาดูกันว่าเราต้องเริ่มออมเงินเดือนละเท่าไหร่


      จากตารางเราเห็นข้อสังเกตุได้ 3 ข้อครับคือ
     1.จำนวนเงินที่เก็บออมในแต่ละเดือน ถ้าเก็บมากแน่นอนย่อมมีเงินสะสมมาก (หลายคนก็จะบอกว่า จะเก็บให้ได้มากได้อย่างไร ในเมื่อทุกวันนี้ก็ใช้เดือนชนเดือนอยู่แล้ว ซึ่งอยากจะแนะนำอย่างงี้ครับให้เราออมก่อนใช้ อย่าเหลือใช้แล้วจึงออมครับ ข้อนี้จะช่วยได้)
     2.อัตราผลตอบแทน จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนที่ห่างกันเพียง 2% ต่อปี แต่ทำให้ภาระการเก็บออมแต่ละเดือนนั้นห่างกันมากมายเหลือเกิน (แล้วจะทำอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนสูง ๆ ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นการต้องเอาเงินออมของเราไปลงทุนครับ ให้เงินของเราทำงานให้เราบ้างไม่ใช่ว่าเราต้องทำงานเหนื่อยอย่างเดียว)
     3.ถ้าเราเริ่มเก็บออมอย่างเร็ว เราจะใช้เงินออมเดือนละไม่สูงมากครับ (วันรุ่นวัยทำงานชอบละทิ้งข้อได้เปรียบนี้ครับ โดยมีความเชื่อที่ว่า ยังหนุ่มยังแน่นมีเรี่ยวแรงหาเงิน ก็หาเงินแล้วก็ใช้เงินให้คุ้มค่า ส่วนเงินเก็บเดี๋ยวอายุเยอะขึ้นตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้นค่อยเก็บออม ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ค่อยเข้าท่าเลยถ้าดูจากตารางนี้)
    
     จากทั้ง 3 ข้อนี้คงปฏิเสธเรื่องที่เราต้องลงทุนไม่ได้ใช่หรือไม่ครับ ? จะเอาเงินไปฝากธนาคารเดือนละ 2,000 กว่าบาท ก็เห็นจะเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ดอกเบี้ย 8% ต่อปีจริงไหม หลายคนกลัวเหลือเกินกับการลงทุน เพราะตลอดเวลาเราจะได้ยินคำพูดที่ว่า "การลงทุนคือความเสี่ยง" ซึ่งมันก็เป็นข้อความที่เป็นความจริงครับ (ดูจากตลาดหุ้นที่ผันผวนขึ้นลงวันนึงอย่างกับรถไฟเหาะตีลังกา ราคาทองคำที่ไหลพรูดรูดลงยังกะตกเหว) แต่เราสามารถลดความเสี่ยงของการลงทุนของเราได้ เริ่มต้นจากการเรียนรู้ หาระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ รับได้มากก็ลงทุนในหุ้น ทองคำ อนุพันธ์ ถ้ารับความเสี่ยงได้น้อยก็ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล กองทุนรวมตราสารหนี้ หรือที่กำลังมาแรงในตอนนี้ก็คือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน

     ลองดูกราฟผลตอบแทนของสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ในระยะเวลาที่ผ่านมาดูครับ



     จะเห็นได้ว่าการลงทุนมีให้เลือกมากมายครับ แถมเรายังกำหนดความเสี่ยงที่เรารับได้ตามประเภทของการลงทุนได้อีก ถ้าเราเริ่มต้นเรียนรู้ เริ่มต้นเก็บออม เริ่มต้นวางแผน สบายใจได้เลยว่าชีวิตหลังเกษียณของเราจะสุขสบาย ไม่เป็นภาระของลูกหลานอีกด้วย

"การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การไม่ลงทุนเลยเสี่ยงกว่า"  -champsiwa-

08 เมษายน 2556

ใคร ๆ ก็ชอบของ Sale !!!


     ในการใช้ชีวิตประจำวันของเรานั้น สิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้ก็คือการที่ต้องออกไปจับจ่ายใช้สอย ซื้อสินค้านู่นนี่นั่นอยู่เรื่อยไป แต่สิ่งหนึ่งที่อดที่จะมองหาหรือมันเป็นที่สะกิดใจของเราเป็นอย่างมากเลยก็คือ ป้าย Sale !! นั่นเอง

     โดยเฉพาะสาว ๆ ที่จะชื่นชอบป้ายนี้เป็นอย่างยิ่ง เจอทีไรทำให้ต้องหวั่นไหวอยู่เรื่อยไป จนหลาย ๆ ครั้งนั้นทำให้เราลืมคิดไปว่า สิ่งที่จะต้องซื้อมานั้นมันจำเป็นหรือว่าเราได้ใช้สอยประโยชน์ของมันหรือเปล่า เรากลับเห็นป้าย Sale และราคามันถูกลงมาจนน่าเหลือเชื่อแล้วก็ซื้อมันมา ก็เสมือนกับว่าเราติดกับดักป้าย Sale เข้าอย่างจัง

     แต่ในทางกลับกันถ้าเราไตร่ตรองดูแล้วว่า สินค้านั้นเราจำเป็นต้องใช้สอยมันแน่นอนและเมื่อซื้อมันมาแล้วนั้นมันคือสิ่งที่จะสร้างประโยชน์ต่อเราได้คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์แน่นอน ประจวบเหมาะกับจังหวะที่สินค้านั้นติดป้าย Sale !! ด้วยแล้วนั้น เหมือนเราได้กำไร 2 เด้งเลยทีเดียว และนี่คือการซื้อที่ชาญฉลาด

     ในโลกของการลงทุนก็มีมหกรรมลดกระหน่ำเหมือนกัน แต่ไม่ได้มีการปักป้าย Sale ให้เรารู้หรอกนะ เราต้องทำการวิเคราะห์และพิจารณากันเอง เช่น หลังจากช่วงวิกฤติ Subprime ของสหรัฐอเมริกา ตลาดหุ้นบ้านเราก็ตกล่วงลงมามากมาย (SET index จาก 800 กว่าจุดลงมา 400 กว่าจุด) ใครที่เอาชนะความกลัวได้ในขณะนั้น ก็เสมือนกับว่าพบกับป้าย Sale !! ในงานมหกรรมลดกระหน่ำ เข้ามาลงทุนในหุ้นตอนนี้ก็ฟันกำไรไปมากมาย

     แต่กับดักการลดกระหน่ำนี้ก็ยังมีให้เห็น แค่ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมานี้ หลังจากประเทศไทยพ้นวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ เมื่อ SET index กลับขึ้นมา 1100 จุด นักลงทุนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ขณะนี้หุ้นได้ "แพง" แล้ว จนกระทั่งมาถึงปลายปี 2555 SET index วิ่งขึ้นไปถึง 1400 จุด เสียงจากนักลงทุนก็บอกว่าโหตอนนี้ "แพงมาก"

     เข้ามาเริ่มต้นปี 2556 SET index ผ่านมา 2 เดือนวิ่งขึ้นไป 1550 จุด กลับมานักลงทุนเปิดบัญชีใหม่เข้ามาจำนวนมาก บอกกันเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือขาขึ้นของหุ้นไทย ไม่ซื้อระวังจะตกรถ !! (โบรกเกอร์ต่าง ๆ ก็เชียร์กันว่าหุ้นไทยจะไป 1700 - 1800 จุด) มาถึงวันนี้ (05/04/2556) SET index ลงมาอยู่ที่ 1489 จุด นักลงทุนก็บอกเป็นเสียงเดียวกันราวกับตลาดปักป้าย Sale !! "เก็บของถูกเร็ว" เพราะดัชนีลงมารุนแรง ว่าแล้วก็ทำการซื้อ... โดยตอนนี้นั้นได้ลืมไปแล้วว่าเคยบอกว่ามัน "แพง" ตั้งแต่ดัชนีอยู่ที่ 1100 จุด

     "ถูก" หรือ "แพง" เราได้ใช้ "ความรู้สึก" ของเราเป็นตัววัดมากกว่า "การประเมินมูลค่าที่แท้จริง" ไปหรือเปล่า ?? ลองดูกราฟด้านล่างเล่น ๆ ดูครับเราเป็นเหมือนในกราฟนี้หรือเปล่า ?


"ถ้าเรามัวแต่ซื้อของที่ไม่จำเป็น สักวันเราก็จะจบลงด้วยการขายของที่จำเป็น" -Warren Buffett-

03 เมษายน 2556

เริ่มต้น เร็ว !

     วันนี้มีเรื่องราวดี ๆ มาเล่าให้ฟังครับ เป็นเรื่องราวของเด็กชาวอเมริกัน ชื่อ แวนิส บั๊กโฮสซ์ เป็นเด็กอายุเพียง 10 ขวบ เชื่อหรือไม่ครับเด็กหนุ่มคนนี้เป็นถึงเจ้าของบริษัท "My Recycler" ซึ่งเขาก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นมาเอง

      เริ่มต้นจากเมื่อเด็กหนุ่มอายุได้ 7 ขวบ เด็กหนุ่มได้ตั้งคำถามขึ้นมาว่า "ในแต่ละวันนั้นคนเราทิ้งขยะที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้มากแค่ไหนกัน ?" จากจุดเริ่มต้นนี้เด็กหนุ่มได้ออกสำรวจด้วยจักรยาน ไปตามชายหาด ท้องถนน และสวนสาธารณะ เพื่อเก็บขยะเหล่านั้นไปขาย อีกทั้งยังมอบรายได้ส่วนหนึ่งจากการขายขยะนี้เพื่อช่วยเหลือเด็กยากจนในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย


  ขอบคุณเรื่อราวจาก  a day BULLETIN

      
      จากเรื่องราวสู่โลกแห่งการลงทุน เมื่อเราได้เริ่มต้นเรียนรู้และเริ่มลงทุนได้เร็วแน่นอนความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้เร็ว แต่ใช่ว่าทุก ๆ คนจะสามารถประสบความสำเร็จได้เหมือนกันหมดเพราะในโลกของการลงทุนนั้นไม่ได้มีสูตรสำเร็จแน่นอน แต่ละคนที่ประสบความสำเร็จนั้นมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป

      ถ้าในกรณีที่เลวร้ายที่สุดจากความสำเร็จ กลับกลายเป็นความล้มเหลว ในขณะที่เราเริ่มต้นได้เร็วนั่นก็หมายความว่า เรายังมีกำลังและเวลาอีกมากที่จะลุกขึ้นมาอีกครั้ง ลองนึกภาพดูครับเราล้มเหลวในขณะที่ช่วงอายุเรา 20 - 30 ปี กำลังและเวลาเรายังมีเหลืออยู่อีกมากโอกาสที่เราจะเริ่มอีกสักครั้ง สองครั้ง หรือสามครั้งก็ยังเป็นไปได้ แต่ถ้าเราเริ่มต้นเมื่ออายุเราปาเข้าไป 50 ปีไม่อยากจะนึกสภาพเลยครับว่าถ้าเกิดความล้มเหลวขึ้นมาจะมีเรี่ยวแรงพอจะลุกขึ้นมาอีกครั้งไหม อีกทั้งเวลาที่เหลืออยู่ก็น้อยลงเต็มที

      ความล้มเหลวจะไม่ใช่เรื่องราวเลวร้ายอะไรมากมายเลยถ้าเรามีการเริ่มต้นที่เร็ว เราพร้อมจะลุกขึ้นสู้ได้อีกหลายครั้ง นำประสบการณ์จากความล้มเหลวนั้นเป็นบทเรียนในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และอย่าลืมเมื่อประสบความสำเร็จจงแบ่งปันสู่ผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือความรู้ครับ


"การล้มเหลวนี่แหละดี ทำให้เราได้เห็นอะไรหลายอย่างบนพื้น เวลาล้มไม่ต้องรีบลุก แต่ต้องพยายามเก็บของที่อยู่บนพื้นให้ได้มากที่สุด" -ตัน ภาสกรนที (ตัน อิชิตัน)-