27 กรกฎาคม 2556

พลังของการคิดบวก




     วันนี้มีเรื่องมาเล่าเกี่ยวกับความคิดอีกแล้ว จากบทความก่อนหน้านี้ที่เคยพูดไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องของความคิด เริ่มต้นจาก..."ความคิด"  ซึ่งในบทความนั้นนำเสนอให้เห็นมุมมองความคิดที่แตกต่างกัน และความคิดที่แตกต่างกันนั้นเองก็จะนำพาไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอีกด้วย

     มาในบทความนี้เผอิญได้ไปอ่านเจอบทความทางวิทยาศาสตร์ซึ่งอธิบาย ไขความลับเรื่องที่ว่า ทำไมคนที่ล้มเหลวในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องความรัก เรื่องการเรียน เรื่องธุรกิจ ฯลฯ พยายามอีกกี่ครั้งก็ยังคงล้มเหลวอยู่ ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จได้ทั้งเรื่องงาน ชีวิตรัก การเรียน ทำธุรกิจอะไรก็รุ่งเรื่อง ร่ำรวยขึ้นตลอด คน ๆ นั้นไม่ว่าจะหยิบจับ ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จไปซะหมด ผลงานวิจัยทางวิทยศาสตร์ชิ้นนี้ ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างกันของคนสองลักษณะนี้ ความลับอยู่ที่พลังของการคิด "บวก" นั้นเองครับ

     ถ้าเรามีความคิดในแง่ลบ คิดว่าทำไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำอย่างไรก็ประสบผลสำเร็จไม่ได้ เราก็จะประสบพบเจอแต่ความล้มเหลวอยู่เสมอไม่ว่าจะพยายามอีกสักกี่ครั้ง แต่ถ้าเราเริ่มจากเปลี่ยนความคิด ให้คิดในแง่บวกนอกจากจะเสริมสร้างกำลังใจที่ดีให้กับตนเองแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้ประสบผลสำเร็จได้อีกด้วย งานวิจัยทางวิยาศาสตร์นี้กล่าวถึงกลไกในสมองของมนุษย์ซึ่งมีส่วนหนึ่งที่เรียกว่า "นิวรอน" นั้นเองครับลองดูคลิปวิดีโอด้านล่างนี้ครับ



(สำหรับผู้ที่ดูบนโทรศัพท์หากคลิปไม่ขึ้นสามารถกดได้ ที่นี่ "นิวรอน" )

     ในโลกของการลงทุนพลังของการคิดบวกก็สำคัญไม่ใช่น้อย ในยามที่เราลงทุนแล้วเกิดขาดทุนความคิดในแง่ลบ ความคิดแย่ ๆ ทัศนคติแย่ ๆ ที่มีต่อการลงทุนก็จะเข้ามาในสมองของเรา นานวันเข้าก็จะทำให้เรามองการลงทุนในแง่ลบ ซึ่งก็ยากที่จะทำให้เราประสบผลสำเร็จได้ หรือทำให้เราออกจากสนามการลงทุน แต่ในทางกลับกันเมื่อเราผิดพลาด เราก็เก็บมาเป็นประสบการณ์ นำมาปรับปรุงแก้ไข ปรับทัศนคติต่อการลงทุนของเราซะใหม่ สุดท้ายคือคิดในด้านบวกเข้าไว้ เพราะมันคือพลังที่ยิ่งใหญ่

สองเชื้อโรคในหัว
ที่ทำให้คนคนหนึ่งอ่อนแอเกินกว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต
คือความคิดว่า "ทำไม่ได้" กับความคิดว่า "ยังไม่ต้องทำตอนนี้ก็ได้"


               twitter : @champsiwa

30 มิถุนายน 2556

จากสิ่งเล็ก ๆ

     เคยคิดน้อยใจกับตัวเราเองไหมครับว่า ? ทำไมเราเกิดมามีต้นทุนน้อยนิดกว่าคนอื่นเหลือเกิน เงินทองที่พ่อแม่มีมาให้แทบจะไม่มี ลองมองดูมรดกที่เราจะได้รับในอนาคตก็แทบจะไม่มีอะไรเลย สติปัญญาก็ไม่ดีเลิศ พรสวรรค์น่ะหรอลืมไปได้เลย แต่ถ้าเรามัวแต่คิดน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาชีวิตของตัวเองก็คงจะได้แต่อยู่กลับที่ ลองย้อนกลับไปอ่านบทความนี้ เริ่มต้นจาก..."ความคิด" แล้วลองเปลี่ยนความคิดดูครับ

     บทความนี้ก็เลยจะหยิบยกเรื่องราวของบุคคลหนึ่งมาให้อ่านกันครับ ลุงคนนี้มีชื่อว่า Ingvar Kamprad ดูจากชื่อแล้วน้อยคนนักที่จะรู้จักแต่ถ้าเอ่ยถึงชื่อแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ว่า "IKEA" คงจะเป็นที่รู้จักกันทุกคน


Ingvar Kamprad ขอบคุณภาพจาก bloomberg.com

     รู้หรือไม่ครับว่าลุง Ingvar Kamprad ผู้ก่อตั้ง IKEA ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกนี้ เริ่มต้นธุรกิจของเขาในปี 1943 เมื่อเขาอายุได้เพียง 17 ปี โดยเริ่มต้นจากการขาย "ไม้ขีดไฟ" อ่านไม่ผิดครับ เขาเริ่มจากการที่ไปรับซื้อไม้ขีดไฟแบบเหมา แล้วนำมาบรรจุกล่อง เร่ขายตามหมู่บ้านและหัวเมืองต่าง ๆ หลังจากนั้นเขาก็ขยายกิจการไปสู่ เครื่องเขียน เครื่องตกแต่งงานคริตส์มาส เมล็ดพืช กระเป๋า นาฬิกา และอื่น ๆ จนมาจบที่เครื่องเรือนและเฟอร์นิเจอร์ราคาประหยัด และสุดท้ายก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในปัจจุบัน

      Ingvar Kamprad ไม่ได้เป็นคนที่มีต้นทุนชีวิตมากมาย เขาเติบโตมาในฟาร์ม ฐานะทางบ้านยากจน ทำอาชีพด้านการเกษตร แต่เขามีนิสัยรักที่จะรวย รักที่จะทำธุรกิจมาตั้งแต่วัยรุ่น นิสัยส่วนตัวเขาเป็นคนสมถะ ขยันและทำงานหนัก ปัจจุบัน IKEA ที่เขาสร้างมากว่า 50 ปี มีสาขา 300 สาขาใน 44 ประเทศ ในปี 2012 เขามีทรัพย์สินสุทธิ $42.6 billion

     ในโลกของการลงทุนเมื่อเราเริ่มเข้าสู่ตลาดด้วยต้นทุนในพอร์ตน้อยนิด อาจจะแค่หลักพัน หลักหมื่น ถ้าเรามัวแต่น้อยเนื้อต่ำใจว่าเงินแค่นี้ไม่ทำให้เราร่ำรวยได้หรอก เราลองเปลี่ยนแนวคิดของเราว่าถือเป็นโอกาสอันดีของเราเมื่อพอร์ตเราเล็ก การบริหารจัดการก็จะง่าย เราก็เริ่มต้นบริหารจัดการวางแผนจากพอร์ตเล็ก ๆ ของเรา เหมือนที่ Ingvar Kamprad เริ่มต้นจากการขายไม้ขีดไฟ ถ้าเราบริหารพอร์ตลงทุนเล็ก ๆ ของเราได้แล้ว จากนั้นเราก็สะสมเพิ่มเติม เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ขยับขยายจากพอร์ตเล็ก ๆ ของเราสักวันมันก็จะได้เป็นพอร์ตใหญ่ ๆ เหมือนคนอื่นเขาที่ประสบความสำเร็จสักที

"ทุกอย่างมันไม่มีทางลัด ไม่ใครมาเสกมาสร้างให้เรา 
เราจะต้องลงมือทำ ต้องพยายามสร้างด้วยตัวเราเอง"
-Ingvar Kamprad-

    

                                                                                                                                                                                         twitter : @champsiwa

11 มิถุนายน 2556

เริ่มต้นจาก..."ความคิด"


     ห่างหายไปนานเลยจากบทความก่อนหน้านี้ ช่วงนี้ทุกอย่างยุ่ง ๆ ก็เลยไม่มีเวลาคิดบทความที่จะมาเขียน พอว่าง ๆ ก็เลยนึกอยากจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการรคิด ซึ่งการคิดนี่แหล่ะมันเป็นจุดเริ่มต้นของทุก ๆ อย่าง ความคิดก็เริ่มจาก ความสงสัย > ตั้งคำถาม > หาคำตอบ คนที่มีการจัดการกับความคิดของตัวเองได้ดีแล้วนั้น นอกจากจะมีโอกาสประสบผลสำเร็จยังจะทำให้มีความสุขได้อีกด้วย ลองมาดูเหตุการณ์นี้ดูครับเรื่องเล่าเหตุการณ์นี้ได้อ่านมาจาก Twitter @MJ_Eig ครับ

    ถ้าถามตัวเองว่า "ในสถานการณ์อย่างนี้ เราจะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร ?"
    ภาพในหัวก็คงไม่พ้นเรื่องแย่ ๆ ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนคต และเราก็จะได้คำตอบว่า "นั่นสิเราจะทำเพื่ออะไรกันวะ เลิกทำเสียดีกว่า"
   
    แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนคำถามใหม่ "ในสถานการณ์อย่างนี้เราจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้มันดีขึ้น ?"
    ทีนี้ ภาพในหัวของเราก็จะเปลี่ยนไป เกิดเป็นทางเลือกต่าง ๆ ที่จะทำให้เรื่องมันดีขึ้น เราก็แค่เลือกมันมาสักทางที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด แล้วก็ไปต่อ

     แค่เราเปลี่ยนคนถาม ภาพในหัวเราก็เปลี่ยน และเมื่อภาพในหัวเราเปลี่ยน ความเชื่อของเราก็จะเปลี่ยน ความรู้สึกเราก็จะเปลี่ยน แล้วเมื่อความรู้สึกเราเปลี่ยน การกระทำของเราก็จะเปลี่ยน เมื่อการกระทำของเราเปลี่ยน ผลลัพธ์ย่อมเปลี่ยน สุดท้ายผลลัพธ์ที่เปลี่ยน ก็จะทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยน

     ยังมีอีกหลาย ๆ ตัวอย่างที่จะหยิบยกมานำเสนอ ลองมาอ่านดูอีกสักหนึ่งตัวอย่าง
     นายคิดดี และ นายเฉยชา เป็นเพื่อนกัน ทั้ง 2 คนมีแนวคิดที่ต่างกัน วันหนึ่งทั้ง 2 คนคุยกันถึงความฝันว่าอยากจะเป็นเจ้าของรถหรูสักหนึ่งคันเป็น Lamborghini ละกัน (แบบไม่หนีภาษีนะครับ ฮ่า ๆ แซว ๆ) นายคิดดี จะมีความคิดที่ว่า "จะทำวิธีไหนได้บ้างเพื่อที่จะได้รถ Lamborghini มาขับ" ส่วนนายเฉยชา มีความคิดที่ว่า "รถแพงเหลือเกินเป็นไปไม่ได้หรอก อย่าฝันเฟืองเลย" หลังจากแนวคิดของทั้งคู่นั้น นายคิดดี ตั้งใจทำงาน หารายได้เสริม อมออม นำเงินมาลงทุน ส่วนนายเฉยชา นำเงินที่หามาได้ในการเที่ยวเตร่ เพราะคิดว่าไม่มีเก็บเงิน หาเงินได้ขนาดซื้อรถหรูได้หรอก เอาเงินที่ได้มาหาความสุขดีกว่า

     เราลองมามองดูผลลัพธ์ของทั้ง 2 คน กรณีที่ดีที่สุด นายคิดดีจะได้เป็นเจ้าของรถหรู ส่วนนายเฉยชาก็คงไม่ได้เป็นเจ้าของรถอะไรเลย ในกรณีที่กลาง ๆ นายคิดดีอาจจะมีเงินไม่พอซื้อ Lamborghini แต่อาจจะเป็น Benz Sport สักคัน ส่วนนายเฉยชาก็ยังคงไม่มีอะไรเลย ในกรณีที่แย่ นายคิดดีอาจจะได้เป็นเจ้าของรถญี่ปุ่นสักคัน ส่วนนายเฉยชาก็คงไม่มีอะไรเลยเหมือนเดิม

     ในโลกของการลงทุนการเริ่มต้นจากความคิดนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ความคิดนำพาไปสู่การกระทำ และนำไปสู่ผลลัพธ์ของการลงทุน จากบุคคลที่ประสบผลสำเร็จจากการลงทุนจะมีความคิดและทัศนคติที่ดีมาก จะไม่ใช่คนที่เก่งเรียนจบระดับด๊อกเตอร์ที่จำประสบผลสำเร็จได้เสมอไป

"ตีลูกให้ถึงดวงจันทร์ ถึงพลาดก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว" จากโฆษณาเบียร์สิงห์



twitter : @champsiwa

26 พฤษภาคม 2556

จากร้าย... กลายเป็นดี


     วันนี้จะมาเขียนบทความเกี่ยวกับบุคคลคนหนึ่งอีกแล้ว คนนี้มีชื่อว่า โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เมื่อได้ยินชื่อนี้หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่คุ้นหรือยังงงอยู่ว่าเขาคือใคร แล้วเขาคนนี้มีอะไรน่าสนใจหรือ แต่ถ้าบอกว่าเขาคนนี้คือ โทนี่ สตาร์ค พระเอกคนดังจากภาพยนตร์เรื่อง IRON MAN ทุกคนคงร้องอ๋อกัน แล้วอะไรที่น่าสนใจล่ะ ถ้าในเรื่อง IRON MAN ก็คงไม่ต้องพูดอะไรมากเพราะเชื่อว่าเกือบจะทุกคนรู้จักเรื่องนี้ แต่ชีวิตจริงของเขาต่างหากที่น้อยคนนักจะรู้ 
  
     โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ปัจจุบันอายุ 48 แล้ว เขาเข้าวงการตั้งแต่ปี 1970 มีผลงานทั้งหนังและซีรีย์ ทั้งครอบครัวเขาเป้นคนดังทั้งหมด ใช้ชีวิตเป็นนักแสดงอาชีพ ได้รางวัลมากมาย เช่น Golden Globe Award หลายครั้ง เคยเข้าชิง OSCAR 2 ครั้ง เมื่อมีชื่อเสียงขึ้นมา มีพรสวรรค์มากมาย และมีเงิน ทำให้เขาผิดพลาดจากสิ่งยั่วยุ ไม่ว่าจะยาเสพติดและปาร์ตี้ ช่วงปี 2001 เขาเสพยาหนักมาก และต้องติดคุกในคดียาเสพติดมาแล้ว ในความผิดพลาดนี้ทำให้เขาเกือบจะหมดอนาคตในวงการบันเทิง

     โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ได้เข้ารับการบำบัดอยู่หลายครั้ง จนกลับมาเลิกยาเสพติด เลิกติดการจัดปาร์ตี้ และทุ่มเทให้กับงานแสดงอย่างเป็นมืออาชีพ แล้วเขาก็เดินหน้ากวาดรางวัลมากมาย ผลงานที่เด่นดังของเขาเช่น Iron Man, Sherlock Holmes ทำให้คนทั่วโลกได้รู้จักเขา ปัจจุบันขา clean และละเลิกทั้งหมดแล้ว มีการคาดกันว่าเขาได้รับค่าตอบแทนไม่น้อยกว่า 50 ล้านเหรียญต่อภาคเลยทีเดียว


     เรื่องของ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เป็นตัวอย่างให้เราเห็นว่าความสำเร็จในชีวิตไม่ได้มาง่าย ๆ และไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ต้องผ่านความผิดพลาด ล้มเหลว สิ่งเหล่านี้เป็นบททดสอบสำคัญให้เราไปถึงยังจุดหมายในระยะยาว โดยอาศัยความพยายามและความทุ่มเท ไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบาก เรียนรู้จากข้อผิดพลาดและใช้เป้นบทเรียนสอนใจ

     ในโลกของการลงทุน ความผิดพลาด การหลงผิดเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ ถ้าเรายอมจำนนและยอมแพ้ แน่นอนเราไม่มีทางประสบผลสำเร็จในระยะยาวได้แน่นอน แต่เมื่อเรานำข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น มาทำการแก้ไข ไม่ว่าข้อผิดพลาดนั้นจะเนื่องมาจาก ระบบของเรา สภาพจิตใจของเรา หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราไม่ละซึ่งความพยายามและทุ่มเทให้กับมัน จดจำทุกอย่างไว้เป็นบทเรียนและทำการปรับปรุงแก้ไข เชื่อว่าความสำเร็จคงอยู่ไม่ไกลจนเกินไป ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ...

Tony Stark: Falling in line's not really my style.
 (ทำตามกฎมันไม่ใช่สไตล์ผมเท่าไหร่)



twitter : @champsiwa

12 พฤษภาคม 2556

กว่าจะเป็นวันนี้...


     วันนี้จะมาเล่าให้ฟังถึงบุคคลคนหนึ่งซึ่งในช่วงนี้เป็นกระแสแรงมาก บุคคลคนนี้เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างสุดยอดคนนึงของโลก ใช่แล้ว บุคคลนี้มีนามว่า "Sir Alexander Chapman Ferguson" หรือที่เรารู้จักในในนาม เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรือเราเรียกสั้น ๆ กันว่า เฟอร์กี้ ลองมาดูประวัติของบุคคลคนนี้ดูครับ

     เฟอร์กี้ เป็นคนสก็อตแลนด์โดยกำเนิดครอบครัวทำงานที่อู่ต่อเรือ มีฐานะค่อนข้างยากจน จากนั้นเฟอร์กี้เริ่มต้นเข้าสู่วงการฟุตบอล ด้วยการเป็นนักฟุตบอลอาชีพในตำแหน่งกองหน้า ค้าแข่งกับหลายสโมสรผลงานการเป็นนักฟุตบอลก็ถือว่ายอดเยี่ยม

     แต่สิ่งที่จะเน้นและกล่าวถึงคือการทำหน้าที่เป็นกุนซือของเฟอร์กี้ มีประวัติที่ไม่ธรรมดา เขาเริ่มต้นคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1986 โดยในยุคนั้น แมนยูฯ ไม่ใช่ แมนยูฯ ในแบบทุกวันนี้ ถือว่าเป็นทีมที่ไม่ได้ มีผลงานอันโดดเด่นอะไร (แฟนบอลคงรู้กันดียุคนั้นเป็นยุคของหงส์แดงเขาล่ะ) ในฤดูกาลแรกของการทำหน้าที่ผู้จัดการทีม เขาพาแมนยูฯ รอดพ้นจากการตกชั้น โดยคว้าลำดับที่ 11 ในตาราง

     ในฤดูกาลถัดมาผลงานของเฟอร์กี้ ใน 8 นัดแรกแมนยูฯ ไม่พบกับชัยชนะเลยแม้แต่นัดเดียว แฟนบอลต่างไม่พอใจ ชูป้ายไล่เฟอร์กี้ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม และจุดตัดสินชะตาของการทำหน้าที่ผู้จัดการทีมก็มีถึงในเกมส์ FA cup รอบ 3 ถ้าเขาพาทีมตกรอบ เขาจะถูกปลดออกจากตำแหน่งทันที แต่แล้วเขาพาทีมชนะผ่านเข้ารอบไปได้ และยิ่งไปกว่านั้น เฟอร์กี้ พาแมนยูฯ ผ่านทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของถ้วยใบนี้ โดยพบกับทีม คริสตอล พาเลซ ความสำเร็จแรกของเขามาถึง เขาพาแมนยูฯ คว้าแชมป์แรกในการคุมทีมของเขาได้สำเร็จ

     และนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ ในปี 1999 เฟอร์กี้พาแมนยูฯ คว้าได้ถึง 3 แชมป์ (พรีเมียร์ลีก, FA cup, ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก) สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง แห่งสหราชอาณาจักร ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เขาเป็นอัศวินแห่งอังกฤษ นับเป็นชาวสกอตเพียงไม่กี่คน ที่ได้รับเกียรติอย่างสูงเช่นนี้ จนถึงวันนี้เฟอร์กี้ใช้เวลาในการสร้างแมนยูฯ มากว่า 27 ปีคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 13 สมัยและกวาดถ้วยรางวัลจากรายการอื่น ๆ กว่า 30 ถ้วย

     ในโลกของการลงทุนต้องใช้เวลา และความอดทนในการประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน ลองเปรียบเทียบการเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอล มาเป็นผู้จัดการพอร์ตการลงทุน เราอาจไม่ได้มีทุนเริ่มต้นมากมาย (เหมือนเฟอร์กี้เกิดในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย) ในตอนเริ่มแรกเราอาจจะขาดทุน มีผลตอบแทนที่แย่กว่าตลาด (เหมือนกับการคุมทีมแล้วตกชั้น หรือรอดพ้นอย่างฉิวเฉียด) เมื่อเราเริ่มศึกษา และเรียนรู้มากขึ้น เราอาจจะมีผลตอบแทนเทียบเท่าตลาด (เหมือนกับการคุมทีมแล้วอยู่รอดปลอดภัยบนลีกสูงสุดได้สบาย) จากนั้นเมื่อเราฝึกฝนมากขึ้น ประสบการณ์เยอะขึ้น ผลตอบแทนพอร์ตการลงทุนของเราชนะตลาดได้อย่างกระจุยกระจาย (เหมือนกับการคุมทีมแล้วคว้า Triple Champ มาครองได้สำเร็จ)

     ความสำเร็จไม่ได้มาง่าย ๆ เพียงชั่วข้ามคืนต้องใช้ความอดทน ใช้ระยะเวลา ไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบาก เรียนรู้จากความผิดพลาดแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข สิ่งที่เล่าให้ฟัง อาจจะไม่ได้เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน แต่เราสามารถศึกษาประวัติชีวิต และนำข้อคิดที่ได้มาปรับใช้กับการลงทุนของเราได้เหมือนกัน ปล.หวังว่าบทความนี้จะไม่ขัดใจแฟนหงส์นะจ๊ะ อิอิ

"อย่ารังเกียจความผิดพลาด แต่กุญแจสำคัญคือ ต้องชนะมากกว่าแพ้" -เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน-

04 พฤษภาคม 2556

ใครกำหนด ?

 

     ตั้งแต่เป็นเด็กมาจนถึงตอนนี้สิ่งที่เราเคยได้ยิน เคยรับฟังมา บ้างก็ว่าชีวิตเราได้ถูกกำหนดไว้แล้วโดยพระเจ้า บ้างก็ว่าโชคชะตาเป็นสิ่งที่กำหนดชีวิตของเรา บ้างก็ว่าเวรกรรมเป็นตัวชี้นำชีวิตของเรา แล้วคำตอบที่ถูกต้องจริง ๆ แล้วล่ะ อะไรกำหนดชีวิตของเรา ???

     เราเคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า ในปีหน้าเรามีอะไรจะต้องทำ ? อีก 5 ปีข้างหน้าเราจะอยู่ที่ไหน ? อีก 10 ปีข้างหน้าความเป็นอยู่เราจะเป็นยังไง ? อีก 50 ปีข้างหน้าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ? บ้างก็มีคำถามแต่กลับไม่หาคำตอบ เพราะอาจจะเชื่อว่าชีวิตของเราได้ถูกกำหนดไว้แล้วไม่ว่าจะโชคชะตา หรือเวรกรรม บ้างก็มีคำตอบที่ชัดเจน ต้องดีใจกับคนกลุ่มนี้เพราะคนกลุ่มนี้ไม่รอคอยโชคชะตา หรือให้เวรกรรมพาไป คนกลุ่มนี้เลือกที่จะกำหนดชีวิตของเขาด้วยตัวเขาเอง

     มีคลิปวิดีโอจาก Youtube คลิปหนึ่งค่อนข้างน่าสนใจ โดยนำเสนอชีวิต 2 รูปแบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ลองคลิ๊กชมดูครับ >>> Which Life You Prefer???  ดูแล้วเชื่อหรือไม่ครับว่าชีวิตของเรา เราสามารถออกแบบ และกำหนดมันได้ว่าเราจะเลือกเป็นแบบใด ?

     ในโลกของการลงทุนเราสามารถออกแบบ และกำหนดวิธีการลงทุนของเราได้ด้วยตัวเองเช่นกัน ไม่ต้องรอให้อารมณ์ของตลาด หรือว่าเจ้ามือมาเป็นตัวกำหนดผลการลงทุนของเรา เราควรต้องหมั่นศึกษา เฝ้าติดตาม ตรวจสอบระบบ วางแผนจัดการเงิน สิ่งเหล่านี้เองที่จะเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนจากการลงทุนของเรา

     ชีวิตจริงการออกกำลังกายทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ชีวิตการลงทุนก็หมั่นศึกษาทำให้เรามีพอร์ตที่แข็งแรง สิ่งที่ยากลำบากในการที่จะออกกำลังกายคือความคิดที่จะเริ่มออกกำลังกาย แต่เมื่อเราตัดสินใจเริ่มต้นออกกำลัง จนเราพบกับความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อและหยาดเหยื่อที่ไหลซึมกาย มันจะรู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาดใจ เมื่อทำอย่างเป็นประจำเรายังได้ร่างกายที่แข็งแรง เช่นเดียวกันการลงทุนยากลำบากในช่วงเริ่มต้นศึกษา แต่เมื่อเราเริ่มไปแล้ว เราจะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อวันหนึ่งเราเห็นพอร์ตเราเริ่มโต มีผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ เมื่อเราทำอย่างเป็นประจำเราจะมีประสบการณ์เอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์


 "Life isn’t about finding yourself. Life is about creating yourself."

"ชีวิตไม่ใช่การค้นหาตัวเอง แต่มันคือการสร้างตัวของตัวเองขึ้นมาต่างหาก"

 - George Bernard Shaw -
    

23 เมษายน 2556

ทางของฉัน ฝันของใคร ?

     สิ่งที่จะเขียนถึงในวันนี้ เป็นสิ่งที่เชื่อว่าพวกเราทุกคนต้องมีซึ่งก็คือ "ความฝัน" แน่นอนทุกคนมีความฝัน พนันได้เลยว่าตั้งแต่เราเป็นเด็กพ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา คุณครู บุคคลเหล่านี้ต้องเคยถามเราว่า "โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร ?" เรายังจำกันได้หรือเปล่าครับ ว่าคำตอบในตอนนั้นคืออะไร ?

     แล้วถ้าตอนนี้ให้เราตั้งคำถามนี้กับตัวเราเองว่า "สิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนี้ คือตัวตนของเราหรือไม่ คือความฝันที่เราอยากเป็นหรือเปล่า ?" ถ้าคำตอบคือ "ใช่นี่แหล่ะคือตัวตนของฉัน และตอนนี้ฉันได้ทำตามความฝันแล้ว" เรายินดีด้วยครับ เพราะเชื่อได้เลยว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่คำตอบเป็นเช่นนั้น

     แล้วถ้าคำตอบคือ "นี่มันไม่ใช่ตัวตนของฉัน ทุกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นด้วยความจำเป็น" งั้นคำถามต่อไปคือ "เราลืมความฝันของเราไปแล้วหรือยัง ? เราได้เริ่มทำตามความฝันเราบ้างหรือเปล่า ?" มีคลิปนึงจาก Youtube อยากให้พวกเราได้ลองดูครับ


     ในโลกของการลงทุนความฝันก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ต่างคนต่างเข้ามาลงทุนด้วยเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป แล้วเราถามตัวเองหรือเปล่าครับว่า "ความฝันของการลงทุนเราคืออะไร ? เรามีเป้าหมายในการลงทุนอย่างไร ?"

     การที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการประสบความสำเร็จของชีวิต ไม่จำเป็นเสมอไปว่าคนที่เรียนได้ดี เรียนมาเฉพาะด้าน จบเศรษฐศาสตร์ การเงินการลงทุน ระดับปริญญาเอก แล้วเข้ามาลงทุนแล้วจะประสบความสำเร็จเสมอไป แต่ถ้าเราทุกคนมีความฝัน มีเป้าหมายในการลงทุน และขณะนี้ได้เริ่มต้นเดินทางตามความฝันของตัวเอง เชื่อได้แน่ครับว่าสักวันหนึ่งเราก็จะทำได้ดังฝันของเราครับ


"ถ้าคุณไม่สร้างความฝันของตัวเอง คนอื่นจะจ้างคุณไปสร้างความฝันของเขา" -Cway investment-