06 ตุลาคม 2556

มันก็แค่... ปัญหา


    กลับมาทักทายกันอีกครั้งครับ พอดีได้อ่านเรื่องราวของคน ๆ นึง เลยเกิดอยากนำเอามาเล่าต่อให้ฟังกันครับ บุคคลในภาพคือ ลอร์ด เนลสัน (โฮราชิโอ เนลสัน ไวเคานท์เนลสันที่ 1) แม่ทัพเรือผู้ยิ่งใหญ่ แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือ ท่านลอร์ดผู้นี้กลับเป็นคนที่เมาคลื่นครับ ประวัติค่อนข้างน่าสนใจมากเลยทีเดียว ตามอ่านต่อได้เลยครับ

     เนลสัน เป็นเด็กที่มีรูปร่างผอม สุขภาพไม่สูดีมีอาการเจ็บป่วยอยู่เป็นประจำ เมื่ออายุ 12 ปี พ่อเขาจึงส่งให้ไปเป็นลูกเรือ ใช้เวลาอยู่หลายปีจนสามารถไต่เต้าเป็นกัปตันเรือได้ เมื่อนโปเลียน ยาตราทัพไปทั่วยุโรป เนลสันก็ได้ก้าวเข้าสู่สงคราม สู้รบจนได้รับบาดเจ็บตาขวาบอด และสงครามครั้งต่อมาเขาก็เสียแขนขวา


     ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปคงเลิกประจำการแล้ว แต่เนลสันกลับไม่ยอมเลิก เขายังประจันหน้าทัพนโปเลียนที่อียิปส์ เอาชนะสงครามได้อย่างงดงาม โดยสงครามครั้งนี้เขาได้รับบาดเจ็บ สมองถูกกระทบกระเทือน แต่เขายังคงไม่ยอมเลิกการเป็นแม่ทัพ


     ในสงครามครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ผู้บัญชาการของเนลสันส่งสัญญาณให้ถอยทัพหนี เนลสันได้หยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมามองด้วยตาขวาและบอกว่า "ไม่เห็นมีสัญญาณอะไรเลย" เมื่อยืนหยัดต่อสู้ ทัพเรือของเขาก็ได้รับชัยชนะอีกครั้ง


     ในสงครามครั้งสุดท้ายของเขา เนลสันต่อสู้กับทัพเรืออันเกรียงไกรของฝรั่งเศส-สเปน เนลสันถูกนักแม่นปืนยิงบาดเจ็บสาหัสนอนรอความตายอยู่หลายชั่วโมง แต่เขาไม่ยอมตายจนกว่าจะได้ยินเสียงของลูกเรือว่าทัพเรือของตนชนะ จะเห็นได้ว่า เนลสันเป็นคนที่ยืนหยัดต่อสู้กับปัญหามากมาย ต่อสู้กับตัวเองทั้งที่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวน แต่กลับมีจิตใจที่เข้มแข็ง


     ในโลกของความเป็นจริงและการลงทุนนั้นเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะมาจากสภาพจิตใจภายในของเรา หรือว่าปัจจัย สิ่งเร้าภายนอก แต่เมื่อเรามีการเตรียมพร้อมที่ดี มีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ยืนหยัดต่อสู้ ไม่ย่อท้อต่อปัญหา เราก็สามารถรับมือกับปัญหามากมายที่ถาโถมเข้ามาหาเราได้ สุดท้ายเราก็จะประกาศชัยชนะเหนือปัญหาทุกเรื่องที่เข้ามา


    วินทร์ เลียววาริณ "ปัญหาในโลกนี้แบ่งออกเป็นสองอย่าง อย่างหนึ่งคือปัญหาจริง อย่างหนึ่งคือปัญหาที่ฝันขึ้นเอง หากพิจารณาดูตัวปัญหาของเราให้ดี อาจพบว่าบางปัญหาเป็นเพียงจินตนาการเชิงลบเท่านั้น ที่ตลกก็คือ แม้แต่ปัญหาจริงก็ยังมีการแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ การตกงานสำหรับคนหนึ่งคือความล้มเหลวเลวร้าย สำหรับอีกคนหนึ่งอาจเป็นประตูสู่ชีวิตใหม่ ดังนั้น ท่าที (attitude) ต่อปัญหา จึงสำคัญมากกว่าตัวปัญหาเอง"



"ปัญหาใหญ่ทำให้เป็นปัญหาเล็ก ปัญหาเล็กทำให้หมดไป"




twitter : @champsiwa

15 กันยายน 2556

เส้นทาง...


      หลังจากห่างหายไปนานไม่ได้เขียนบทความใหม่เลย มาในบทความนี้จะมากล่าวถึงเส้นทางของผู้ชนะหรือเส้นทางแห่งความสำเร็จครับ ก่อนอื่นที่จะกล่าวถึงเส้นทางทั้ง 2 เรามาดูประวัติศาสตร์นักเดินทางกันหน่อย รู้หรือไม่ว่า ?
     - Christopher Columbus ค้นพบทวีปอเมริกา เพราะเขาหลงทาง
     - Marco Polo ออกเดินทางโดยเรือจากเวนิช ถึงพม่า และถูกจับเป็นเชลยทางทะเล ทำให้เราได้อ่านบันทึกการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ของเขา
     - Che Guevara ออกเดินทางจาก Buenos Aires บ้านเกิด มาสมทบกับ Fidel Castro เพื่อปลดปล่อยคิวบา แต่ที่เขาชวนเพื่อน ๆ ขับมอเตอร์ไซด์ไปคิวบาเพราะเขา อกหัก
   
     คนส่วนมากคิดว่าบนเส้นทางที่เดินจะมีจุดหมายเพียง 2 อย่าง คือ ความล้มเหลว กับ ความสำเร็จ มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่คิดว่าบนเส้นทางที่พบเจอกับความล้มเหลวสุดท้ายปลาอยทางมีความสำเร็จรออยู่ จากตัวอย่างนักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ท่านที่กล่าวมา จะเห็นว่าการที่เขาทั้งหลายประสมความสำเร็จล้วนแล้วแต่เจอกับความล้มเหลวมาก่อน

     ในเมื่อคนส่วนใหญ่คิดเพียงแค่ว่ามีเส้นทางที่ล้มเหลว กับ เส้นทางที่สำเร็จ เมื่อเขาประสบกับความล้มเหลวแน่นอน เขาย่อมคิดว่าเขาได้มาผิดทางแล้ว บ้างก็เดินถอยหลังกลับ บางก็หยุดเดินไปซะดื้อ ๆ เกิดความท้อแท้ หมดกำลังใจ สุดท้ายก็จบลงอยู่กับความล้มเหลวนั้นเอง

     คนส่วนน้อยที่คิดว่าความล้มเหลวเป็นเพียงฉากหน้าของความสำเร็จ เมื่อเผชิญกับความล้มเหลว ก็จะจดจำไว้เป็นบทเรียน แล้วลุกขึ้นก้าวเดินต่อไป ยิ่งเจอกับความล้มเหลวมากเท่าไหร่ ก็จะมีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เมื่อทำการปรับปรุงแก้ไข เกิดการเรียนรู้ ไม่ทำผิดพลาดซ้ำซ้อน สุดท้ายผลของความพยายามก็รออยู่ตรงหน้า นั้นคือความสำเร็จ

     ในโลกของการลงทุนก็เช่นกัน คนส่วนมากก็ยังคงคิดว่ามีเพียงเส้นทางที่ล้มเหลว กับ เส้นทางที่จะสำเร็จ จึงเฝ้ามองหาสูตรสำเร็จของการลงทุน เห็นวิธีแบบนี้แล้วประสบความสำเร็จก็เอาบ้าง เห็นใครเขามีแนวทางที่ประสบผลสำเร็จก็แห่ตามไปใช้ ซึ่งจริง ๆ แล้วสูตรสำเร็จของการลงทุนนั้นแทบไม่มี แต่ละคนย่อมมีจริตเป็นของตัวเอง พอเจอกับความล้มเหลวก็โทษวิธีนั้น ๆ ว่าใช้ไม่ได้จริง ถอดใจหยุดเดิน หยุดหาความรู้เพิ่มเติม สุดท้ายก็ยังคงล้มเหลว คนส่วนน้อยที่คิดว่ายิ่งเจอกับความล้มเหลวเท่าไหร่ ความสำเร็จยิ่งใกล้เขาเข้ามา จะพยามยามปรับปรุงแก้ไขในข้อผิดพลาด ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ใช้ความล้มเหลวที่พบเจอมาเป็นบทเรียน สุดท้ายรางวัลของเขาก็คือ "ความสำเร็จ"

“ หนทางไกล นับหมื่นลี้... ต้องเริ่มต้นด้วย...ก้าวแรก ”

- เล่าจื้อ -




twitter : @champsiwa

27 กรกฎาคม 2556

พลังของการคิดบวก




     วันนี้มีเรื่องมาเล่าเกี่ยวกับความคิดอีกแล้ว จากบทความก่อนหน้านี้ที่เคยพูดไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องของความคิด เริ่มต้นจาก..."ความคิด"  ซึ่งในบทความนั้นนำเสนอให้เห็นมุมมองความคิดที่แตกต่างกัน และความคิดที่แตกต่างกันนั้นเองก็จะนำพาไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอีกด้วย

     มาในบทความนี้เผอิญได้ไปอ่านเจอบทความทางวิทยาศาสตร์ซึ่งอธิบาย ไขความลับเรื่องที่ว่า ทำไมคนที่ล้มเหลวในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องความรัก เรื่องการเรียน เรื่องธุรกิจ ฯลฯ พยายามอีกกี่ครั้งก็ยังคงล้มเหลวอยู่ ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จได้ทั้งเรื่องงาน ชีวิตรัก การเรียน ทำธุรกิจอะไรก็รุ่งเรื่อง ร่ำรวยขึ้นตลอด คน ๆ นั้นไม่ว่าจะหยิบจับ ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จไปซะหมด ผลงานวิจัยทางวิทยศาสตร์ชิ้นนี้ ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างกันของคนสองลักษณะนี้ ความลับอยู่ที่พลังของการคิด "บวก" นั้นเองครับ

     ถ้าเรามีความคิดในแง่ลบ คิดว่าทำไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำอย่างไรก็ประสบผลสำเร็จไม่ได้ เราก็จะประสบพบเจอแต่ความล้มเหลวอยู่เสมอไม่ว่าจะพยายามอีกสักกี่ครั้ง แต่ถ้าเราเริ่มจากเปลี่ยนความคิด ให้คิดในแง่บวกนอกจากจะเสริมสร้างกำลังใจที่ดีให้กับตนเองแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้ประสบผลสำเร็จได้อีกด้วย งานวิจัยทางวิยาศาสตร์นี้กล่าวถึงกลไกในสมองของมนุษย์ซึ่งมีส่วนหนึ่งที่เรียกว่า "นิวรอน" นั้นเองครับลองดูคลิปวิดีโอด้านล่างนี้ครับ



(สำหรับผู้ที่ดูบนโทรศัพท์หากคลิปไม่ขึ้นสามารถกดได้ ที่นี่ "นิวรอน" )

     ในโลกของการลงทุนพลังของการคิดบวกก็สำคัญไม่ใช่น้อย ในยามที่เราลงทุนแล้วเกิดขาดทุนความคิดในแง่ลบ ความคิดแย่ ๆ ทัศนคติแย่ ๆ ที่มีต่อการลงทุนก็จะเข้ามาในสมองของเรา นานวันเข้าก็จะทำให้เรามองการลงทุนในแง่ลบ ซึ่งก็ยากที่จะทำให้เราประสบผลสำเร็จได้ หรือทำให้เราออกจากสนามการลงทุน แต่ในทางกลับกันเมื่อเราผิดพลาด เราก็เก็บมาเป็นประสบการณ์ นำมาปรับปรุงแก้ไข ปรับทัศนคติต่อการลงทุนของเราซะใหม่ สุดท้ายคือคิดในด้านบวกเข้าไว้ เพราะมันคือพลังที่ยิ่งใหญ่

สองเชื้อโรคในหัว
ที่ทำให้คนคนหนึ่งอ่อนแอเกินกว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต
คือความคิดว่า "ทำไม่ได้" กับความคิดว่า "ยังไม่ต้องทำตอนนี้ก็ได้"


               twitter : @champsiwa

30 มิถุนายน 2556

จากสิ่งเล็ก ๆ

     เคยคิดน้อยใจกับตัวเราเองไหมครับว่า ? ทำไมเราเกิดมามีต้นทุนน้อยนิดกว่าคนอื่นเหลือเกิน เงินทองที่พ่อแม่มีมาให้แทบจะไม่มี ลองมองดูมรดกที่เราจะได้รับในอนาคตก็แทบจะไม่มีอะไรเลย สติปัญญาก็ไม่ดีเลิศ พรสวรรค์น่ะหรอลืมไปได้เลย แต่ถ้าเรามัวแต่คิดน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาชีวิตของตัวเองก็คงจะได้แต่อยู่กลับที่ ลองย้อนกลับไปอ่านบทความนี้ เริ่มต้นจาก..."ความคิด" แล้วลองเปลี่ยนความคิดดูครับ

     บทความนี้ก็เลยจะหยิบยกเรื่องราวของบุคคลหนึ่งมาให้อ่านกันครับ ลุงคนนี้มีชื่อว่า Ingvar Kamprad ดูจากชื่อแล้วน้อยคนนักที่จะรู้จักแต่ถ้าเอ่ยถึงชื่อแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ว่า "IKEA" คงจะเป็นที่รู้จักกันทุกคน


Ingvar Kamprad ขอบคุณภาพจาก bloomberg.com

     รู้หรือไม่ครับว่าลุง Ingvar Kamprad ผู้ก่อตั้ง IKEA ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกนี้ เริ่มต้นธุรกิจของเขาในปี 1943 เมื่อเขาอายุได้เพียง 17 ปี โดยเริ่มต้นจากการขาย "ไม้ขีดไฟ" อ่านไม่ผิดครับ เขาเริ่มจากการที่ไปรับซื้อไม้ขีดไฟแบบเหมา แล้วนำมาบรรจุกล่อง เร่ขายตามหมู่บ้านและหัวเมืองต่าง ๆ หลังจากนั้นเขาก็ขยายกิจการไปสู่ เครื่องเขียน เครื่องตกแต่งงานคริตส์มาส เมล็ดพืช กระเป๋า นาฬิกา และอื่น ๆ จนมาจบที่เครื่องเรือนและเฟอร์นิเจอร์ราคาประหยัด และสุดท้ายก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในปัจจุบัน

      Ingvar Kamprad ไม่ได้เป็นคนที่มีต้นทุนชีวิตมากมาย เขาเติบโตมาในฟาร์ม ฐานะทางบ้านยากจน ทำอาชีพด้านการเกษตร แต่เขามีนิสัยรักที่จะรวย รักที่จะทำธุรกิจมาตั้งแต่วัยรุ่น นิสัยส่วนตัวเขาเป็นคนสมถะ ขยันและทำงานหนัก ปัจจุบัน IKEA ที่เขาสร้างมากว่า 50 ปี มีสาขา 300 สาขาใน 44 ประเทศ ในปี 2012 เขามีทรัพย์สินสุทธิ $42.6 billion

     ในโลกของการลงทุนเมื่อเราเริ่มเข้าสู่ตลาดด้วยต้นทุนในพอร์ตน้อยนิด อาจจะแค่หลักพัน หลักหมื่น ถ้าเรามัวแต่น้อยเนื้อต่ำใจว่าเงินแค่นี้ไม่ทำให้เราร่ำรวยได้หรอก เราลองเปลี่ยนแนวคิดของเราว่าถือเป็นโอกาสอันดีของเราเมื่อพอร์ตเราเล็ก การบริหารจัดการก็จะง่าย เราก็เริ่มต้นบริหารจัดการวางแผนจากพอร์ตเล็ก ๆ ของเรา เหมือนที่ Ingvar Kamprad เริ่มต้นจากการขายไม้ขีดไฟ ถ้าเราบริหารพอร์ตลงทุนเล็ก ๆ ของเราได้แล้ว จากนั้นเราก็สะสมเพิ่มเติม เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ขยับขยายจากพอร์ตเล็ก ๆ ของเราสักวันมันก็จะได้เป็นพอร์ตใหญ่ ๆ เหมือนคนอื่นเขาที่ประสบความสำเร็จสักที

"ทุกอย่างมันไม่มีทางลัด ไม่ใครมาเสกมาสร้างให้เรา 
เราจะต้องลงมือทำ ต้องพยายามสร้างด้วยตัวเราเอง"
-Ingvar Kamprad-

    

                                                                                                                                                                                         twitter : @champsiwa

11 มิถุนายน 2556

เริ่มต้นจาก..."ความคิด"


     ห่างหายไปนานเลยจากบทความก่อนหน้านี้ ช่วงนี้ทุกอย่างยุ่ง ๆ ก็เลยไม่มีเวลาคิดบทความที่จะมาเขียน พอว่าง ๆ ก็เลยนึกอยากจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการรคิด ซึ่งการคิดนี่แหล่ะมันเป็นจุดเริ่มต้นของทุก ๆ อย่าง ความคิดก็เริ่มจาก ความสงสัย > ตั้งคำถาม > หาคำตอบ คนที่มีการจัดการกับความคิดของตัวเองได้ดีแล้วนั้น นอกจากจะมีโอกาสประสบผลสำเร็จยังจะทำให้มีความสุขได้อีกด้วย ลองมาดูเหตุการณ์นี้ดูครับเรื่องเล่าเหตุการณ์นี้ได้อ่านมาจาก Twitter @MJ_Eig ครับ

    ถ้าถามตัวเองว่า "ในสถานการณ์อย่างนี้ เราจะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร ?"
    ภาพในหัวก็คงไม่พ้นเรื่องแย่ ๆ ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนคต และเราก็จะได้คำตอบว่า "นั่นสิเราจะทำเพื่ออะไรกันวะ เลิกทำเสียดีกว่า"
   
    แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนคำถามใหม่ "ในสถานการณ์อย่างนี้เราจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้มันดีขึ้น ?"
    ทีนี้ ภาพในหัวของเราก็จะเปลี่ยนไป เกิดเป็นทางเลือกต่าง ๆ ที่จะทำให้เรื่องมันดีขึ้น เราก็แค่เลือกมันมาสักทางที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด แล้วก็ไปต่อ

     แค่เราเปลี่ยนคนถาม ภาพในหัวเราก็เปลี่ยน และเมื่อภาพในหัวเราเปลี่ยน ความเชื่อของเราก็จะเปลี่ยน ความรู้สึกเราก็จะเปลี่ยน แล้วเมื่อความรู้สึกเราเปลี่ยน การกระทำของเราก็จะเปลี่ยน เมื่อการกระทำของเราเปลี่ยน ผลลัพธ์ย่อมเปลี่ยน สุดท้ายผลลัพธ์ที่เปลี่ยน ก็จะทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยน

     ยังมีอีกหลาย ๆ ตัวอย่างที่จะหยิบยกมานำเสนอ ลองมาอ่านดูอีกสักหนึ่งตัวอย่าง
     นายคิดดี และ นายเฉยชา เป็นเพื่อนกัน ทั้ง 2 คนมีแนวคิดที่ต่างกัน วันหนึ่งทั้ง 2 คนคุยกันถึงความฝันว่าอยากจะเป็นเจ้าของรถหรูสักหนึ่งคันเป็น Lamborghini ละกัน (แบบไม่หนีภาษีนะครับ ฮ่า ๆ แซว ๆ) นายคิดดี จะมีความคิดที่ว่า "จะทำวิธีไหนได้บ้างเพื่อที่จะได้รถ Lamborghini มาขับ" ส่วนนายเฉยชา มีความคิดที่ว่า "รถแพงเหลือเกินเป็นไปไม่ได้หรอก อย่าฝันเฟืองเลย" หลังจากแนวคิดของทั้งคู่นั้น นายคิดดี ตั้งใจทำงาน หารายได้เสริม อมออม นำเงินมาลงทุน ส่วนนายเฉยชา นำเงินที่หามาได้ในการเที่ยวเตร่ เพราะคิดว่าไม่มีเก็บเงิน หาเงินได้ขนาดซื้อรถหรูได้หรอก เอาเงินที่ได้มาหาความสุขดีกว่า

     เราลองมามองดูผลลัพธ์ของทั้ง 2 คน กรณีที่ดีที่สุด นายคิดดีจะได้เป็นเจ้าของรถหรู ส่วนนายเฉยชาก็คงไม่ได้เป็นเจ้าของรถอะไรเลย ในกรณีที่กลาง ๆ นายคิดดีอาจจะมีเงินไม่พอซื้อ Lamborghini แต่อาจจะเป็น Benz Sport สักคัน ส่วนนายเฉยชาก็ยังคงไม่มีอะไรเลย ในกรณีที่แย่ นายคิดดีอาจจะได้เป็นเจ้าของรถญี่ปุ่นสักคัน ส่วนนายเฉยชาก็คงไม่มีอะไรเลยเหมือนเดิม

     ในโลกของการลงทุนการเริ่มต้นจากความคิดนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ความคิดนำพาไปสู่การกระทำ และนำไปสู่ผลลัพธ์ของการลงทุน จากบุคคลที่ประสบผลสำเร็จจากการลงทุนจะมีความคิดและทัศนคติที่ดีมาก จะไม่ใช่คนที่เก่งเรียนจบระดับด๊อกเตอร์ที่จำประสบผลสำเร็จได้เสมอไป

"ตีลูกให้ถึงดวงจันทร์ ถึงพลาดก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว" จากโฆษณาเบียร์สิงห์



twitter : @champsiwa

26 พฤษภาคม 2556

จากร้าย... กลายเป็นดี


     วันนี้จะมาเขียนบทความเกี่ยวกับบุคคลคนหนึ่งอีกแล้ว คนนี้มีชื่อว่า โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เมื่อได้ยินชื่อนี้หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่คุ้นหรือยังงงอยู่ว่าเขาคือใคร แล้วเขาคนนี้มีอะไรน่าสนใจหรือ แต่ถ้าบอกว่าเขาคนนี้คือ โทนี่ สตาร์ค พระเอกคนดังจากภาพยนตร์เรื่อง IRON MAN ทุกคนคงร้องอ๋อกัน แล้วอะไรที่น่าสนใจล่ะ ถ้าในเรื่อง IRON MAN ก็คงไม่ต้องพูดอะไรมากเพราะเชื่อว่าเกือบจะทุกคนรู้จักเรื่องนี้ แต่ชีวิตจริงของเขาต่างหากที่น้อยคนนักจะรู้ 
  
     โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ปัจจุบันอายุ 48 แล้ว เขาเข้าวงการตั้งแต่ปี 1970 มีผลงานทั้งหนังและซีรีย์ ทั้งครอบครัวเขาเป้นคนดังทั้งหมด ใช้ชีวิตเป็นนักแสดงอาชีพ ได้รางวัลมากมาย เช่น Golden Globe Award หลายครั้ง เคยเข้าชิง OSCAR 2 ครั้ง เมื่อมีชื่อเสียงขึ้นมา มีพรสวรรค์มากมาย และมีเงิน ทำให้เขาผิดพลาดจากสิ่งยั่วยุ ไม่ว่าจะยาเสพติดและปาร์ตี้ ช่วงปี 2001 เขาเสพยาหนักมาก และต้องติดคุกในคดียาเสพติดมาแล้ว ในความผิดพลาดนี้ทำให้เขาเกือบจะหมดอนาคตในวงการบันเทิง

     โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ได้เข้ารับการบำบัดอยู่หลายครั้ง จนกลับมาเลิกยาเสพติด เลิกติดการจัดปาร์ตี้ และทุ่มเทให้กับงานแสดงอย่างเป็นมืออาชีพ แล้วเขาก็เดินหน้ากวาดรางวัลมากมาย ผลงานที่เด่นดังของเขาเช่น Iron Man, Sherlock Holmes ทำให้คนทั่วโลกได้รู้จักเขา ปัจจุบันขา clean และละเลิกทั้งหมดแล้ว มีการคาดกันว่าเขาได้รับค่าตอบแทนไม่น้อยกว่า 50 ล้านเหรียญต่อภาคเลยทีเดียว


     เรื่องของ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เป็นตัวอย่างให้เราเห็นว่าความสำเร็จในชีวิตไม่ได้มาง่าย ๆ และไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ต้องผ่านความผิดพลาด ล้มเหลว สิ่งเหล่านี้เป็นบททดสอบสำคัญให้เราไปถึงยังจุดหมายในระยะยาว โดยอาศัยความพยายามและความทุ่มเท ไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบาก เรียนรู้จากข้อผิดพลาดและใช้เป้นบทเรียนสอนใจ

     ในโลกของการลงทุน ความผิดพลาด การหลงผิดเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ ถ้าเรายอมจำนนและยอมแพ้ แน่นอนเราไม่มีทางประสบผลสำเร็จในระยะยาวได้แน่นอน แต่เมื่อเรานำข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น มาทำการแก้ไข ไม่ว่าข้อผิดพลาดนั้นจะเนื่องมาจาก ระบบของเรา สภาพจิตใจของเรา หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราไม่ละซึ่งความพยายามและทุ่มเทให้กับมัน จดจำทุกอย่างไว้เป็นบทเรียนและทำการปรับปรุงแก้ไข เชื่อว่าความสำเร็จคงอยู่ไม่ไกลจนเกินไป ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ...

Tony Stark: Falling in line's not really my style.
 (ทำตามกฎมันไม่ใช่สไตล์ผมเท่าไหร่)



twitter : @champsiwa

12 พฤษภาคม 2556

กว่าจะเป็นวันนี้...


     วันนี้จะมาเล่าให้ฟังถึงบุคคลคนหนึ่งซึ่งในช่วงนี้เป็นกระแสแรงมาก บุคคลคนนี้เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างสุดยอดคนนึงของโลก ใช่แล้ว บุคคลนี้มีนามว่า "Sir Alexander Chapman Ferguson" หรือที่เรารู้จักในในนาม เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรือเราเรียกสั้น ๆ กันว่า เฟอร์กี้ ลองมาดูประวัติของบุคคลคนนี้ดูครับ

     เฟอร์กี้ เป็นคนสก็อตแลนด์โดยกำเนิดครอบครัวทำงานที่อู่ต่อเรือ มีฐานะค่อนข้างยากจน จากนั้นเฟอร์กี้เริ่มต้นเข้าสู่วงการฟุตบอล ด้วยการเป็นนักฟุตบอลอาชีพในตำแหน่งกองหน้า ค้าแข่งกับหลายสโมสรผลงานการเป็นนักฟุตบอลก็ถือว่ายอดเยี่ยม

     แต่สิ่งที่จะเน้นและกล่าวถึงคือการทำหน้าที่เป็นกุนซือของเฟอร์กี้ มีประวัติที่ไม่ธรรมดา เขาเริ่มต้นคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1986 โดยในยุคนั้น แมนยูฯ ไม่ใช่ แมนยูฯ ในแบบทุกวันนี้ ถือว่าเป็นทีมที่ไม่ได้ มีผลงานอันโดดเด่นอะไร (แฟนบอลคงรู้กันดียุคนั้นเป็นยุคของหงส์แดงเขาล่ะ) ในฤดูกาลแรกของการทำหน้าที่ผู้จัดการทีม เขาพาแมนยูฯ รอดพ้นจากการตกชั้น โดยคว้าลำดับที่ 11 ในตาราง

     ในฤดูกาลถัดมาผลงานของเฟอร์กี้ ใน 8 นัดแรกแมนยูฯ ไม่พบกับชัยชนะเลยแม้แต่นัดเดียว แฟนบอลต่างไม่พอใจ ชูป้ายไล่เฟอร์กี้ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม และจุดตัดสินชะตาของการทำหน้าที่ผู้จัดการทีมก็มีถึงในเกมส์ FA cup รอบ 3 ถ้าเขาพาทีมตกรอบ เขาจะถูกปลดออกจากตำแหน่งทันที แต่แล้วเขาพาทีมชนะผ่านเข้ารอบไปได้ และยิ่งไปกว่านั้น เฟอร์กี้ พาแมนยูฯ ผ่านทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของถ้วยใบนี้ โดยพบกับทีม คริสตอล พาเลซ ความสำเร็จแรกของเขามาถึง เขาพาแมนยูฯ คว้าแชมป์แรกในการคุมทีมของเขาได้สำเร็จ

     และนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ ในปี 1999 เฟอร์กี้พาแมนยูฯ คว้าได้ถึง 3 แชมป์ (พรีเมียร์ลีก, FA cup, ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก) สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง แห่งสหราชอาณาจักร ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เขาเป็นอัศวินแห่งอังกฤษ นับเป็นชาวสกอตเพียงไม่กี่คน ที่ได้รับเกียรติอย่างสูงเช่นนี้ จนถึงวันนี้เฟอร์กี้ใช้เวลาในการสร้างแมนยูฯ มากว่า 27 ปีคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 13 สมัยและกวาดถ้วยรางวัลจากรายการอื่น ๆ กว่า 30 ถ้วย

     ในโลกของการลงทุนต้องใช้เวลา และความอดทนในการประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน ลองเปรียบเทียบการเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอล มาเป็นผู้จัดการพอร์ตการลงทุน เราอาจไม่ได้มีทุนเริ่มต้นมากมาย (เหมือนเฟอร์กี้เกิดในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย) ในตอนเริ่มแรกเราอาจจะขาดทุน มีผลตอบแทนที่แย่กว่าตลาด (เหมือนกับการคุมทีมแล้วตกชั้น หรือรอดพ้นอย่างฉิวเฉียด) เมื่อเราเริ่มศึกษา และเรียนรู้มากขึ้น เราอาจจะมีผลตอบแทนเทียบเท่าตลาด (เหมือนกับการคุมทีมแล้วอยู่รอดปลอดภัยบนลีกสูงสุดได้สบาย) จากนั้นเมื่อเราฝึกฝนมากขึ้น ประสบการณ์เยอะขึ้น ผลตอบแทนพอร์ตการลงทุนของเราชนะตลาดได้อย่างกระจุยกระจาย (เหมือนกับการคุมทีมแล้วคว้า Triple Champ มาครองได้สำเร็จ)

     ความสำเร็จไม่ได้มาง่าย ๆ เพียงชั่วข้ามคืนต้องใช้ความอดทน ใช้ระยะเวลา ไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบาก เรียนรู้จากความผิดพลาดแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข สิ่งที่เล่าให้ฟัง อาจจะไม่ได้เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน แต่เราสามารถศึกษาประวัติชีวิต และนำข้อคิดที่ได้มาปรับใช้กับการลงทุนของเราได้เหมือนกัน ปล.หวังว่าบทความนี้จะไม่ขัดใจแฟนหงส์นะจ๊ะ อิอิ

"อย่ารังเกียจความผิดพลาด แต่กุญแจสำคัญคือ ต้องชนะมากกว่าแพ้" -เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน-

04 พฤษภาคม 2556

ใครกำหนด ?

 

     ตั้งแต่เป็นเด็กมาจนถึงตอนนี้สิ่งที่เราเคยได้ยิน เคยรับฟังมา บ้างก็ว่าชีวิตเราได้ถูกกำหนดไว้แล้วโดยพระเจ้า บ้างก็ว่าโชคชะตาเป็นสิ่งที่กำหนดชีวิตของเรา บ้างก็ว่าเวรกรรมเป็นตัวชี้นำชีวิตของเรา แล้วคำตอบที่ถูกต้องจริง ๆ แล้วล่ะ อะไรกำหนดชีวิตของเรา ???

     เราเคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า ในปีหน้าเรามีอะไรจะต้องทำ ? อีก 5 ปีข้างหน้าเราจะอยู่ที่ไหน ? อีก 10 ปีข้างหน้าความเป็นอยู่เราจะเป็นยังไง ? อีก 50 ปีข้างหน้าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ? บ้างก็มีคำถามแต่กลับไม่หาคำตอบ เพราะอาจจะเชื่อว่าชีวิตของเราได้ถูกกำหนดไว้แล้วไม่ว่าจะโชคชะตา หรือเวรกรรม บ้างก็มีคำตอบที่ชัดเจน ต้องดีใจกับคนกลุ่มนี้เพราะคนกลุ่มนี้ไม่รอคอยโชคชะตา หรือให้เวรกรรมพาไป คนกลุ่มนี้เลือกที่จะกำหนดชีวิตของเขาด้วยตัวเขาเอง

     มีคลิปวิดีโอจาก Youtube คลิปหนึ่งค่อนข้างน่าสนใจ โดยนำเสนอชีวิต 2 รูปแบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ลองคลิ๊กชมดูครับ >>> Which Life You Prefer???  ดูแล้วเชื่อหรือไม่ครับว่าชีวิตของเรา เราสามารถออกแบบ และกำหนดมันได้ว่าเราจะเลือกเป็นแบบใด ?

     ในโลกของการลงทุนเราสามารถออกแบบ และกำหนดวิธีการลงทุนของเราได้ด้วยตัวเองเช่นกัน ไม่ต้องรอให้อารมณ์ของตลาด หรือว่าเจ้ามือมาเป็นตัวกำหนดผลการลงทุนของเรา เราควรต้องหมั่นศึกษา เฝ้าติดตาม ตรวจสอบระบบ วางแผนจัดการเงิน สิ่งเหล่านี้เองที่จะเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนจากการลงทุนของเรา

     ชีวิตจริงการออกกำลังกายทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ชีวิตการลงทุนก็หมั่นศึกษาทำให้เรามีพอร์ตที่แข็งแรง สิ่งที่ยากลำบากในการที่จะออกกำลังกายคือความคิดที่จะเริ่มออกกำลังกาย แต่เมื่อเราตัดสินใจเริ่มต้นออกกำลัง จนเราพบกับความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อและหยาดเหยื่อที่ไหลซึมกาย มันจะรู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาดใจ เมื่อทำอย่างเป็นประจำเรายังได้ร่างกายที่แข็งแรง เช่นเดียวกันการลงทุนยากลำบากในช่วงเริ่มต้นศึกษา แต่เมื่อเราเริ่มไปแล้ว เราจะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อวันหนึ่งเราเห็นพอร์ตเราเริ่มโต มีผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ เมื่อเราทำอย่างเป็นประจำเราจะมีประสบการณ์เอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์


 "Life isn’t about finding yourself. Life is about creating yourself."

"ชีวิตไม่ใช่การค้นหาตัวเอง แต่มันคือการสร้างตัวของตัวเองขึ้นมาต่างหาก"

 - George Bernard Shaw -
    

23 เมษายน 2556

ทางของฉัน ฝันของใคร ?

     สิ่งที่จะเขียนถึงในวันนี้ เป็นสิ่งที่เชื่อว่าพวกเราทุกคนต้องมีซึ่งก็คือ "ความฝัน" แน่นอนทุกคนมีความฝัน พนันได้เลยว่าตั้งแต่เราเป็นเด็กพ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา คุณครู บุคคลเหล่านี้ต้องเคยถามเราว่า "โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร ?" เรายังจำกันได้หรือเปล่าครับ ว่าคำตอบในตอนนั้นคืออะไร ?

     แล้วถ้าตอนนี้ให้เราตั้งคำถามนี้กับตัวเราเองว่า "สิ่งที่เราทำอยู่ในตอนนี้ คือตัวตนของเราหรือไม่ คือความฝันที่เราอยากเป็นหรือเปล่า ?" ถ้าคำตอบคือ "ใช่นี่แหล่ะคือตัวตนของฉัน และตอนนี้ฉันได้ทำตามความฝันแล้ว" เรายินดีด้วยครับ เพราะเชื่อได้เลยว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่คำตอบเป็นเช่นนั้น

     แล้วถ้าคำตอบคือ "นี่มันไม่ใช่ตัวตนของฉัน ทุกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นด้วยความจำเป็น" งั้นคำถามต่อไปคือ "เราลืมความฝันของเราไปแล้วหรือยัง ? เราได้เริ่มทำตามความฝันเราบ้างหรือเปล่า ?" มีคลิปนึงจาก Youtube อยากให้พวกเราได้ลองดูครับ


     ในโลกของการลงทุนความฝันก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ต่างคนต่างเข้ามาลงทุนด้วยเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป แล้วเราถามตัวเองหรือเปล่าครับว่า "ความฝันของการลงทุนเราคืออะไร ? เรามีเป้าหมายในการลงทุนอย่างไร ?"

     การที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการประสบความสำเร็จของชีวิต ไม่จำเป็นเสมอไปว่าคนที่เรียนได้ดี เรียนมาเฉพาะด้าน จบเศรษฐศาสตร์ การเงินการลงทุน ระดับปริญญาเอก แล้วเข้ามาลงทุนแล้วจะประสบความสำเร็จเสมอไป แต่ถ้าเราทุกคนมีความฝัน มีเป้าหมายในการลงทุน และขณะนี้ได้เริ่มต้นเดินทางตามความฝันของตัวเอง เชื่อได้แน่ครับว่าสักวันหนึ่งเราก็จะทำได้ดังฝันของเราครับ


"ถ้าคุณไม่สร้างความฝันของตัวเอง คนอื่นจะจ้างคุณไปสร้างความฝันของเขา" -Cway investment-

16 เมษายน 2556

จริงหรือ ? การลงทุนคือความเสี่ยง !

     เชื่อว่าคนที่อ่านบทความส่วนมากแล้วมีงานประจำทำกันหรือที่เรียกกันว่าพนักงานเงินเดือน แล้วก็เชื่อว่าในบางจังหวะชีวิตก็จะเกิดคำถามขึ้นมาอยู่ในหัวอยู่หลาย ๆ คำถามด้วยกัน ลองดูตัวอย่างดังนี้
     - เราจะต้องทำงานไปจนถึงเมื่อไหร่ ?
     - ทำอย่างไรเราถึงจะมีเงินเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ ?
     - เราจะมีเงินเหลือเก็บเดือนละเท่าไหร่ ?
     - ถ้าเราอยากเกษียณตัวเองเราน่าจะมีเงินเก็บทั้งหมดเท่าไหร่ ?

     เชื่อแน่ว่าใครที่คิดถึงอนาคตของตัวเอง ย่อมต้องมีความกังวลและมีคำถามเหล่านี้เกิดขึ้น อาจจะไม่ตรงตามนี้ทั้งหมด หรืออาจจะมากมายหลายคำถามกว่านี้ แล้วเราเคยได้คำตอบจากคำถามเหล่านี้หรือไม่ครับ ?

     แน่นอนในภาวะปัจจุบันเราต้องหาเงิน เราต้องใช้เงิน เราต้องเก็บออม แต่ว่าออมเท่าไหร่ล่ะ เมื่อเราหมดซึ่งเรี่ยวแรงที่จะทำงานแล้วเราถึงจะอยู่ได้อย่างไม่ลำบากมากมาย ลองดูตารางตามด้านล่างนี้ครับ สมมติง่าย ๆ เลยว่าเราต้องใช้เงินหลังเกษียณเดือนละ 20,000 บาท (ค่าเงินปัจจุบัน) และให้อัตราเงินเฟ้อที่คงที่เลยคือ 3% ต่อปี และเราจะเกษียณตัวเองเมื่อายุ 55 ปี เรามาดูกันว่าเราต้องเริ่มออมเงินเดือนละเท่าไหร่


      จากตารางเราเห็นข้อสังเกตุได้ 3 ข้อครับคือ
     1.จำนวนเงินที่เก็บออมในแต่ละเดือน ถ้าเก็บมากแน่นอนย่อมมีเงินสะสมมาก (หลายคนก็จะบอกว่า จะเก็บให้ได้มากได้อย่างไร ในเมื่อทุกวันนี้ก็ใช้เดือนชนเดือนอยู่แล้ว ซึ่งอยากจะแนะนำอย่างงี้ครับให้เราออมก่อนใช้ อย่าเหลือใช้แล้วจึงออมครับ ข้อนี้จะช่วยได้)
     2.อัตราผลตอบแทน จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนที่ห่างกันเพียง 2% ต่อปี แต่ทำให้ภาระการเก็บออมแต่ละเดือนนั้นห่างกันมากมายเหลือเกิน (แล้วจะทำอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนสูง ๆ ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นการต้องเอาเงินออมของเราไปลงทุนครับ ให้เงินของเราทำงานให้เราบ้างไม่ใช่ว่าเราต้องทำงานเหนื่อยอย่างเดียว)
     3.ถ้าเราเริ่มเก็บออมอย่างเร็ว เราจะใช้เงินออมเดือนละไม่สูงมากครับ (วันรุ่นวัยทำงานชอบละทิ้งข้อได้เปรียบนี้ครับ โดยมีความเชื่อที่ว่า ยังหนุ่มยังแน่นมีเรี่ยวแรงหาเงิน ก็หาเงินแล้วก็ใช้เงินให้คุ้มค่า ส่วนเงินเก็บเดี๋ยวอายุเยอะขึ้นตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้นค่อยเก็บออม ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ค่อยเข้าท่าเลยถ้าดูจากตารางนี้)
    
     จากทั้ง 3 ข้อนี้คงปฏิเสธเรื่องที่เราต้องลงทุนไม่ได้ใช่หรือไม่ครับ ? จะเอาเงินไปฝากธนาคารเดือนละ 2,000 กว่าบาท ก็เห็นจะเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ดอกเบี้ย 8% ต่อปีจริงไหม หลายคนกลัวเหลือเกินกับการลงทุน เพราะตลอดเวลาเราจะได้ยินคำพูดที่ว่า "การลงทุนคือความเสี่ยง" ซึ่งมันก็เป็นข้อความที่เป็นความจริงครับ (ดูจากตลาดหุ้นที่ผันผวนขึ้นลงวันนึงอย่างกับรถไฟเหาะตีลังกา ราคาทองคำที่ไหลพรูดรูดลงยังกะตกเหว) แต่เราสามารถลดความเสี่ยงของการลงทุนของเราได้ เริ่มต้นจากการเรียนรู้ หาระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ รับได้มากก็ลงทุนในหุ้น ทองคำ อนุพันธ์ ถ้ารับความเสี่ยงได้น้อยก็ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล กองทุนรวมตราสารหนี้ หรือที่กำลังมาแรงในตอนนี้ก็คือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน

     ลองดูกราฟผลตอบแทนของสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ในระยะเวลาที่ผ่านมาดูครับ



     จะเห็นได้ว่าการลงทุนมีให้เลือกมากมายครับ แถมเรายังกำหนดความเสี่ยงที่เรารับได้ตามประเภทของการลงทุนได้อีก ถ้าเราเริ่มต้นเรียนรู้ เริ่มต้นเก็บออม เริ่มต้นวางแผน สบายใจได้เลยว่าชีวิตหลังเกษียณของเราจะสุขสบาย ไม่เป็นภาระของลูกหลานอีกด้วย

"การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การไม่ลงทุนเลยเสี่ยงกว่า"  -champsiwa-

08 เมษายน 2556

ใคร ๆ ก็ชอบของ Sale !!!


     ในการใช้ชีวิตประจำวันของเรานั้น สิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้ก็คือการที่ต้องออกไปจับจ่ายใช้สอย ซื้อสินค้านู่นนี่นั่นอยู่เรื่อยไป แต่สิ่งหนึ่งที่อดที่จะมองหาหรือมันเป็นที่สะกิดใจของเราเป็นอย่างมากเลยก็คือ ป้าย Sale !! นั่นเอง

     โดยเฉพาะสาว ๆ ที่จะชื่นชอบป้ายนี้เป็นอย่างยิ่ง เจอทีไรทำให้ต้องหวั่นไหวอยู่เรื่อยไป จนหลาย ๆ ครั้งนั้นทำให้เราลืมคิดไปว่า สิ่งที่จะต้องซื้อมานั้นมันจำเป็นหรือว่าเราได้ใช้สอยประโยชน์ของมันหรือเปล่า เรากลับเห็นป้าย Sale และราคามันถูกลงมาจนน่าเหลือเชื่อแล้วก็ซื้อมันมา ก็เสมือนกับว่าเราติดกับดักป้าย Sale เข้าอย่างจัง

     แต่ในทางกลับกันถ้าเราไตร่ตรองดูแล้วว่า สินค้านั้นเราจำเป็นต้องใช้สอยมันแน่นอนและเมื่อซื้อมันมาแล้วนั้นมันคือสิ่งที่จะสร้างประโยชน์ต่อเราได้คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์แน่นอน ประจวบเหมาะกับจังหวะที่สินค้านั้นติดป้าย Sale !! ด้วยแล้วนั้น เหมือนเราได้กำไร 2 เด้งเลยทีเดียว และนี่คือการซื้อที่ชาญฉลาด

     ในโลกของการลงทุนก็มีมหกรรมลดกระหน่ำเหมือนกัน แต่ไม่ได้มีการปักป้าย Sale ให้เรารู้หรอกนะ เราต้องทำการวิเคราะห์และพิจารณากันเอง เช่น หลังจากช่วงวิกฤติ Subprime ของสหรัฐอเมริกา ตลาดหุ้นบ้านเราก็ตกล่วงลงมามากมาย (SET index จาก 800 กว่าจุดลงมา 400 กว่าจุด) ใครที่เอาชนะความกลัวได้ในขณะนั้น ก็เสมือนกับว่าพบกับป้าย Sale !! ในงานมหกรรมลดกระหน่ำ เข้ามาลงทุนในหุ้นตอนนี้ก็ฟันกำไรไปมากมาย

     แต่กับดักการลดกระหน่ำนี้ก็ยังมีให้เห็น แค่ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมานี้ หลังจากประเทศไทยพ้นวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ เมื่อ SET index กลับขึ้นมา 1100 จุด นักลงทุนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ขณะนี้หุ้นได้ "แพง" แล้ว จนกระทั่งมาถึงปลายปี 2555 SET index วิ่งขึ้นไปถึง 1400 จุด เสียงจากนักลงทุนก็บอกว่าโหตอนนี้ "แพงมาก"

     เข้ามาเริ่มต้นปี 2556 SET index ผ่านมา 2 เดือนวิ่งขึ้นไป 1550 จุด กลับมานักลงทุนเปิดบัญชีใหม่เข้ามาจำนวนมาก บอกกันเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือขาขึ้นของหุ้นไทย ไม่ซื้อระวังจะตกรถ !! (โบรกเกอร์ต่าง ๆ ก็เชียร์กันว่าหุ้นไทยจะไป 1700 - 1800 จุด) มาถึงวันนี้ (05/04/2556) SET index ลงมาอยู่ที่ 1489 จุด นักลงทุนก็บอกเป็นเสียงเดียวกันราวกับตลาดปักป้าย Sale !! "เก็บของถูกเร็ว" เพราะดัชนีลงมารุนแรง ว่าแล้วก็ทำการซื้อ... โดยตอนนี้นั้นได้ลืมไปแล้วว่าเคยบอกว่ามัน "แพง" ตั้งแต่ดัชนีอยู่ที่ 1100 จุด

     "ถูก" หรือ "แพง" เราได้ใช้ "ความรู้สึก" ของเราเป็นตัววัดมากกว่า "การประเมินมูลค่าที่แท้จริง" ไปหรือเปล่า ?? ลองดูกราฟด้านล่างเล่น ๆ ดูครับเราเป็นเหมือนในกราฟนี้หรือเปล่า ?


"ถ้าเรามัวแต่ซื้อของที่ไม่จำเป็น สักวันเราก็จะจบลงด้วยการขายของที่จำเป็น" -Warren Buffett-

03 เมษายน 2556

เริ่มต้น เร็ว !

     วันนี้มีเรื่องราวดี ๆ มาเล่าให้ฟังครับ เป็นเรื่องราวของเด็กชาวอเมริกัน ชื่อ แวนิส บั๊กโฮสซ์ เป็นเด็กอายุเพียง 10 ขวบ เชื่อหรือไม่ครับเด็กหนุ่มคนนี้เป็นถึงเจ้าของบริษัท "My Recycler" ซึ่งเขาก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นมาเอง

      เริ่มต้นจากเมื่อเด็กหนุ่มอายุได้ 7 ขวบ เด็กหนุ่มได้ตั้งคำถามขึ้นมาว่า "ในแต่ละวันนั้นคนเราทิ้งขยะที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้มากแค่ไหนกัน ?" จากจุดเริ่มต้นนี้เด็กหนุ่มได้ออกสำรวจด้วยจักรยาน ไปตามชายหาด ท้องถนน และสวนสาธารณะ เพื่อเก็บขยะเหล่านั้นไปขาย อีกทั้งยังมอบรายได้ส่วนหนึ่งจากการขายขยะนี้เพื่อช่วยเหลือเด็กยากจนในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย


  ขอบคุณเรื่อราวจาก  a day BULLETIN

      
      จากเรื่องราวสู่โลกแห่งการลงทุน เมื่อเราได้เริ่มต้นเรียนรู้และเริ่มลงทุนได้เร็วแน่นอนความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้เร็ว แต่ใช่ว่าทุก ๆ คนจะสามารถประสบความสำเร็จได้เหมือนกันหมดเพราะในโลกของการลงทุนนั้นไม่ได้มีสูตรสำเร็จแน่นอน แต่ละคนที่ประสบความสำเร็จนั้นมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป

      ถ้าในกรณีที่เลวร้ายที่สุดจากความสำเร็จ กลับกลายเป็นความล้มเหลว ในขณะที่เราเริ่มต้นได้เร็วนั่นก็หมายความว่า เรายังมีกำลังและเวลาอีกมากที่จะลุกขึ้นมาอีกครั้ง ลองนึกภาพดูครับเราล้มเหลวในขณะที่ช่วงอายุเรา 20 - 30 ปี กำลังและเวลาเรายังมีเหลืออยู่อีกมากโอกาสที่เราจะเริ่มอีกสักครั้ง สองครั้ง หรือสามครั้งก็ยังเป็นไปได้ แต่ถ้าเราเริ่มต้นเมื่ออายุเราปาเข้าไป 50 ปีไม่อยากจะนึกสภาพเลยครับว่าถ้าเกิดความล้มเหลวขึ้นมาจะมีเรี่ยวแรงพอจะลุกขึ้นมาอีกครั้งไหม อีกทั้งเวลาที่เหลืออยู่ก็น้อยลงเต็มที

      ความล้มเหลวจะไม่ใช่เรื่องราวเลวร้ายอะไรมากมายเลยถ้าเรามีการเริ่มต้นที่เร็ว เราพร้อมจะลุกขึ้นสู้ได้อีกหลายครั้ง นำประสบการณ์จากความล้มเหลวนั้นเป็นบทเรียนในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และอย่าลืมเมื่อประสบความสำเร็จจงแบ่งปันสู่ผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือความรู้ครับ


"การล้มเหลวนี่แหละดี ทำให้เราได้เห็นอะไรหลายอย่างบนพื้น เวลาล้มไม่ต้องรีบลุก แต่ต้องพยายามเก็บของที่อยู่บนพื้นให้ได้มากที่สุด" -ตัน ภาสกรนที (ตัน อิชิตัน)-





30 มีนาคม 2556

รู้อะไรก็ไม่สู้ "รู้งี้"



เคยไหมสอบ Admission คะแนนไม่ถึงคณะที่ใฝ่ฝัน ?
รู้งี้ !!! ตั้งใจเรียนดีกว่า

เคยไหมขับรถทางปกติ เจอรถติดแหง่ก ?
รู้งี้ !!! ยอมเสียตังค์ขึ้นทางด่วนดีกว่า

เคยไหมผับปิดแล้วไม่ได้เบอร์สาวที่เล็งไว้ ?
รู้งี้ !!! เดินเข้าไปขอซะก็ดี


รู้งี้ รู้งี้ รู้งี้ รู้งี้ รู้งี้ ในชีวิตเราต้องพูดคำว่ารู้งี้ มาแล้วกี่ครั้ง แล้วต้องพูดคำว่ารู้งี้ไปอีกกี่ครั้งกัน ???

     ทุกคนคงมีประสบการณ์ต่าง ๆ มากมายที่สุดท้ายแล้วต้องมาพูดคำว่า "รู้งี้" แน่นอนครับ มันแสดงถึงการที่เรารู้สึกเสียดาย หรือการที่เราตัดสินใจอะไรพลาดไป หรือกระทำบางอย่างผิดพลาดไป หรืออยากกระทำอะไรบางอย่างแต่ไม่กล้าจะทำ หรืออะไรอีกเยอะแยะไปหมดครับ

     ในโลกของการลงทุนเราได้ยินคำว่า "รู้งี้" บ่อยมากไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์
- ซื้อหุ้นปุ๊ปราคามันก็ตกลงปั๊ป (รู้งี้ ไม่ซื้อซะดีกว่า)
- เล็งแล้วเล็งอีกไม่ซื้อสักทีไม่นานราคาก็วิ่งขึ้น หรือตกรถนั่นเอง (รู้งี้ ซื้อซะก็ดี)
- ขายทิ้งปุ๊ปราคาวิ่งขึ้นปั๊ป หรือขายหมูนั่นเอง (รู้งี้ ยังไม่ขายดีกว่า)
- มีหุ้นอยู่ราคาเริ่มลดลงไม่ยอมตัดขาดทุน หรือติดดอย (รู้งี้ ขายทิ้งก็ดี)
     ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ครับ ที่จะได้ยินคำว่า "รู้งี้" แล้วทำอย่างไรดีล่ะไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างงี้

     วิธีที่จะแก้ให้หายขาดบอกได้เลยครับว่า "ยากส์" มาก แต่พอมีวิธีช่วยบรรเทาลงได้จากเหตุการณ์ที่เราพูดว่ารู้งี้ นั้นจะเกิดจากการตัดสินใจผิดพลาด หรือเสียดายที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ สิ่งที่จะช่วยเราได้ดีอย่างหนึ่งก็คือ การจดบันทึกครับ
     เช่นในการที่เราจะซื้อหรือขายหุ้นแต่ละครั้ง ให้เราทำการบันทึกเหตุผลที่เราทำการซื้อหรือขายหุ้นนั้น ๆ ครับ แล้วถ้าวันนึงเราพูดขึ้นมาว่า "รู้งี้" อีก ให้กลับมาดูเหตุผลที่เราทำการซื้อหรือขายครับ สิ่งนี้มันจะทำให้เราจดจำได้ว่าเหตุผลที่เรากระทำไปในครั้งนั้นเป็นเหตุผลที่ผิดพลาดครับ สิ่งที่จะทำต่อไปก็คือจดจำข้อผิดพลาดเหล่านั้นแล้วอย่าทำให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง เราก็จะลดปริมาณของ "รู้งี้" ลงได้บ้างครับ

   ลองไปฟังเพลงขำ ๆ กันครับ >>  รู้อะไรไม่สู้รู้งี้

      สิ่งที่สำคัญถ้าเราได้กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน ทำในสิ่งที่เราคิดว่าเราจะรู้สึกเสียดายถ้าเราไม่ได้กระทำออกไป แม้สุดท้ายแล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไรจงอย่าได้เสียใจ และจงยอมรับกับผลของมันครับ แค่นี้มันก็คงทำให้เรามีความสุขแล้ว







23 มีนาคม 2556

สิ่งที่ติดตัว "เรา"

     ครั้งนี้เรามาพูดกันถึงสิ่ง ๆ หนึ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์ปุถุชนธรรมดาทั่ว ๆ ไปอย่างเรา ๆ กันครับ สิ่งนั้นก็คือ "กิเลส" แน่นอนครับเราทุกคนล้วนแล้วแต่อยู่กับกิเลสกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะ รัก โลภ โกรธ หลง กลัว อิจฉา ริษยา ฯลฯ โอย... เยอะแยะไปหมดครับ

     กิเลสเหล่านี้จะมีอธิพลต่อเรา ในแต่ละคนไม่เท่ากันครับ ใครปล่อยให้อารมณ์พุ่งนำเหตุผล ยิ่งทำให้กิเลสเหล่านี้เข้าครอบงำและควบคุมตัวเราไว้ คนไหนควบคุมและกำจัดอารมณ์ออกไปได้ กิเลสย่อมยากที่จะเข้าทำร้ายคนนั้นได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมและจัดการกับสิ่งเหล่านี้ครับ

     ในโลกของการลงทุนมีกิเลสที่พูดถึงกันอยู่ 2 ตัวได้แก่ "ความโลภ" และ "ความกลัว" กิเลสสองตัวนี้สร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นกับตลาดหุ้นมากมาย ทำให้เกิดวัฏจักรของการลงทุนขึ้น

มีความหวัง > โลภ > ชักสงสัย > เริ่มกลัว > ตกใจ  > สิ้นหวัง > มีความหวัง  ...

                                                              ขอบคุณภาพจาก : CBSNEWS

     จากภาพบอกอะไรเราได้หลายอย่างครับ การขึ้นลงของตลาดก็อยู่ที่กิเลสของคนที่อยู่ในตลาดนั้นเองครับ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนสด ๆ ร้อน ๆ เลยก็ตลาดหุ้นบ้านเรานี่เองครับ SET ลดระดับลงมา จากจุดสูงสุด 1601.34 จุด ลงมาต่ำสุด 1464.72 จุด ใช้เวลาเพียงแค่ 4 วันเท่านั้น อย่างกับว่ากิจการต่าง ๆ กำลังจะเจ๊ง คงปฎิเสธไม่ได้หรอกว่า มันมาจากกิเลสทั้งนั้น

     จากข่าวเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ 2-3 เดือนมีการเปิดบัญชีหลักทรัพย์เพื่อซื้อขายหุ้นใหม่กว่า 40,000 บัญชีซึ่งเยอะมาก (การคาดการณ์ปกติทั้งปีประมาณ 100,000 บัญชี) คงปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า เมื่อเห็นตลาดหุ้นขาขึ้นคนเราก็เกิดความโลภ ทำให้ยอดเปิดบัญชีเยอะขนาดนี้ แล้วพอเห็นปรากฎการณ์แบบสัปดาห์ที่ผ่านมา แน่นอนคงได้ยินเสียงโอดครวญกันบ้าง อีกสักหน่อยก็คงประวัติศาสตร์ซ้ำรอย กล่าวหาว่า "ตลาดหุ้นก็เหมือนการพนัน"

     เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ ถ้าเรามีระบบ มีการจัดการกับอารมณ์ ไม่ปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำ มีวินัยในการลงทุน มีการบริหารเงินที่ดี เชื่อแน่ว่าต้องประสบกับความสำเร็จครับ แม้จะขาดทุนบ้าง ล้มเหลวบ้าง ขอแค่ลุกขึ้นมา ใช้ประสบการณ์ให้เป็นบทเรียน สมการของความสำเร็จง่าย ๆ ครับ

จำนวนครั้งที่ล้ม = จำนวนครั้งที่ลุก


    

19 มีนาคม 2556

น้ำเต็มแก้ว



     เปิดมาด้วยเพลงเพราะ ๆ เลยทีเดียว เรื่องราวในตอนนี้จะเป็นการเปรียบเทียบคนเรากับ "แก้วน้ำ" ใบนึงที่ว่างเปล่า ส่วนความคิด ความรู้ ความรู้สึก ความ... อะไรก็แล้วแต่ ก็เปรียบเสมือนกับ "น้ำ"

    แน่นอนแต่ละคนย่อมมีความเป็นตัวของตัวเอง ความคิดเป็นของตัวเอง ความรู้ในสาขาที่ตัวเองร่ำเรียนมา ความรู้สึกต่าง ๆ ตามแต่อารมณ์และอุปนิสัย ก็เปรียบเสมือนกับว่ามีน้ำที่เต็มแก้ว

    ปัญหาก็อยู่ตรงที่น้ำมันเต็มแก้วนี่ล่ะ ที่ทำให้เรายอมรับฟังคนอื่นได้น้อยลง ยอมรับในสิ่งต่าง ๆ ที่ขัดกับความเชื่อของตัวเองไม่ได้ ไม่กล้าทำในสิ่งที่คิดว่าไม่ปลอดภัยและไม่คุ้นเคย และก็อะไรอีกหลาย ๆ อย่างทำให้หลาย ๆ ครั้งด้วยกันที่การที่ทำตัวเสมือนน้ำเต็มแก้วนี้ ทำให้เราพลาดโอกาสดี ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต พลาดโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ พลาดโอกาสในการลิ้มลองประสบการณ์แปลกใหม่

     ในโลกของการลงทุนก็เช่นเดียวกัน ถ้าเรายึดมั่นในความคิดของตัวเองมากเกินไป ไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ปฏิเสธการเรียนรู้ในแนวทางที่ตนเองไม่ถนัด ดันทุรังทำในสิ่งที่ผิดซ้ำ ๆ ย่อมจะประสบความสำเร็จได้ยาก

    มีข้อแนะนำมาฝากเราควรทำตัวให้เหมือนกับแก้วที่ว่างเปล่าอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่ว่าเทน้ำที่มีอยู่ทิ้ง แต่ให้เราเทน้ำนั้นใส่ลงไว้ในโอ่ง จากนั้นออกไปค้นหา ออกไปเรียนรู้ ออกไปรับฟัง ออกไปพบเจอ แล้วตักตวงสิ่งเหล่านั้นมาให้เต็มแก้ว จากนั้นก็กลับมาเทน้ำที่เต็มแก้วลงในโอ่งใบเดียวกัน ผสมผสานน้ำในโอ่งแล้วตักขึ้นมาให้เต็มแก้ว จะพบว่าเราได้อะไรแปลกใหม่หลาย ๆ อย่าง ความรู้หลาย ๆ แนวทาง ประสบการณ์มากมาย โดยที่สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จะแฝงไปด้วยความเป็นตัวตนของเราปะปนอยู่

    ที่เขียนมายาวทั้งหมดนี้เพื่อที่จะบอกว่า เราเองต้องหารูปแบบการลงทุนของตัวเองให้เจอ โดยเราสามารถเรียนรู้ได้จากทั้งบุคคลที่ประสบความสำเร็จ และบุคคลที่ล้มเหลว นำมาลองผิดลองถูก ความผิดพลาดเราก็นำมาเป็นบทเรียน ปรับปรุงแก้ไข สังเกตุได้ว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงแต่ละท่านจะมีรูปแบบและแนวทางในการลงทุนเป็นของตัวเอง อาจเหมือน คล้าย หรือแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยก็เป็นได้...

    

    

14 มีนาคม 2556

ชัยชนะอันยิ่งใหญ่


     วันนี้นำเรื่องราวดี ๆ มาฝาก เป็นเรื่องของ Mitchell Marcus เขาเป็นเด็กพิเศษที่มีพัฒนาการสมองช้า เขาชื่นชอบกีฬาบาสเก็ตบอลเป็นชีวิตจิตใจ ถึงเขาจะไม่สามารถเล่นได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป แต่โค้ชทีมโรงเรียนมัธยม Coronado High School ได้ให้โอกาสเขาเข้าร่วมทีม ให้เขาได้ร่วมซ้อม อีกทั้งเขายังเป็นผู้จัดการและเป็นผู้ช่วยเพื่อนร่วมทีม จึงทำให้ Mitchell Marcus นั้นกลายเป็นที่รักของเพื่อน ๆ 

     และแล้วโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตของ Mitchell Marcus ก็มาถึง โดยโค้ชและเพื่อนร่วมทีมได้ให้โอกาสเขาได้สัมผัสกับการลงเล่นในเกมส์การแข่งขันจริง แม้จะเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับ Mitchell Marcus เขาต้องต่อสู้กับตนเอง โดยมีเพื่อนร่วมทีมคอยช่วยเหลือ เขาได้ใช้ความพยายามอยู่นานกว่าจะทำ 2 แต้มแรกในชีวิตการแข่งขันจริงได้ มันคือสิ่งเล็ก ๆ ที่กลายเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของคนทั้งสนาม...



     ในสนามการลงทุน เช่นเดียวกับ Mitchell Marcus เราเลือกที่จะเกิดมาสมบูรณ์แบบไม่ได้ บางคนอาจจะบ่นว่า เงินต้นก็ไม่ได้มีมากมาย ความรู้ความสามารถก็ไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้ ซึ่งแน่นอนเราเสียเปรียบนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนจากต่างชาติ เต็มทุกประตู แต่เราลองมาดูสมการนี้ครับ

จำนวนเงินทั้งหมด = เงินต้น x (1 + %อัตราผลตอบแทน)^เวลา

    จะเห็นได้ว่า "เงินต้น" แน่นอนทุกคนมีไม่เท่ากัน คนที่พ่อแม่มีฐานะดีหน่อยก็อาจจะตกทอดมาสู่ลูกเยอะ "อัตราผลตอบแทน" แน่นอนมาจากความสามารถและประสบการณ์ ซึ่งใครที่ศึกษามาเป็นอย่างดีผ่านร้อนผ่านหนาวมานักต่อนัก ก็จะมีในส่วนนี้สูง แต่ตัวแปรสุดท้าย "เวลา" ทุกคนมีวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากันครับ มีเงินมากก็ซื้อเพิ่มไม่ได้ มีความสามารถมากก็สร้างเพิ่มไม่ได้ เพราะฉะนั้นใช้เวลาที่มีอยู่ ทุ่มเทฝึกฝน สักวันหนึ่งเมื่อเรามีโอกาส เราอาจจะพบชัยชนะอันยิ่งใหญ่เหมือน Mitchell Marcus ก็ได้





12 มีนาคม 2556

หยุดสักที "ไม่มีเวลา" !!!



     จากภาวะตอนนี้ คนรอบข้างผมหันมาสนใจเรื่องการลงทุนอย่างมากโดยเฉพาะหุ้น ซึงในทุกคนๆ ล้วนแล้วแต่มีงานประจำทำ รายได้ก็ได้มาจากเงินเดือน ทำให้หลายๆ คนอยากจะอ่านนู่น ศึกษานี่ แต่ไม่มีเวลา ซึ่งมันก็ถูกใช้เป็นข้ออ้างติดปากเสมอมา

     มากกว่านั้นหลายๆ คนเลือกที่จะใช้ทางลัดในการลงทุนโดยการไปฟังหุ้นเด่น วันนี้ตัวนี้มา วันพรุ่งนี้ตัวนี้ดูดี ไม่ว่าจะหน้าหนังสือพิมพ์ โบรกเกอร์ หรือในสังคม social network แล้วก็เอามาลงทุนเก็บหุ้นเหล่านั้นเข้ามาในพอร์ต (ผมไม่กล้าบอกหรอกว่ามันเป็นวิธีที่ผิด เพราะพวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่มีประสบการณ์มากว่าผมที่เพิ่งเข้ามาศึกษาและลงทุนได้ไม่นาน) แต่สิ่งนึงที่ผมรู้คือ มันเปรียบเสมือนกับว่าพวกเขาเหล่านั้น ได้ให้ปลาแก่เรา แต่ไม่ได้ให้วิธีหาปลาแก่เรา เพราะฉะนั้นเราก็อาจจะอิ่ม (กำไร) ได้ในบางมื้อ

     เราลองนั่งลง ใช้นิ้วมือสัมผัสไปที่ข้อมือ จับการเต้นของชีพจรแล้วนับสัก 1 นาที ทำแบบนี้ 2 รอบ เราจะค้นพบได้ว่าเมื่อจิตเรานิ่ง เวลา 1 นาทีนั้นมันยาวนานกว่าที่เราคิด หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่เราอยากลองทำ อยากอ่าน อยากศึกษา มันไม่ได้จำเป็นต้องใช้เวลาเยอะมากมายเลย เราอาจจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมง ในการทำสิ่งเหล่านี้ โดยไม่ไปเบียดเบียนเวลางานประจำของเรา เวลาที่เราได้โฟกัสอยู่ในสิ่งที่คุณสนใจ เพียงแค่นี้และทำต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี สิ่งที่เราอยากทำมันก็มีโอกาสเป็นจริงและประสบความสำเร็จแน่นอน

    อย่างที่เราทุกๆ คนรู้กันดีเวลามันไม่คอยเรา มันเดินของมันไปเรื่อยๆ ในการลงทุนก็เช่น ถ้าเราศึกษาได้เร็ว ทำความเข้าใจกับมัน พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทำได้เร็วก็มีโอกาสที่จะสำเร็จได้เร็ว ได้ใช้เวลาในการลองผิดลองถูก เรียนรู้จากความผิดพลาดได้มาก
   
    "ผู้ที่เริ่มศึกษาความรู้ด้านการเงินและหาประสบการณ์ด้านการลงทุน ตั้งแต่อายุยังน้อยย่อมได้เปรียบกว่าผู้ที่ศึกษาตอนอายุมาก" Benjamin Graham